รู้จักผื่น HIV สัญญาณของการติดเชื้อ HIV

ผื่น HIV เป็นสัญญาณของการติดเชื้อไวรัส HIV ที่มักพบได้ในช่วงเดือนแรก ๆ ผื่นชนิดนี้มีลักษณะคล้ายกับผื่นจากปัญหาสุขภาพอื่น ๆ จึงทำให้ผู้ป่วยอาจเข้าใจผิดและละเลยการรักษา ซึ่งอาจทำให้การติดเชื้อ HIV รุนแรงจนดำเนินไปสู่ระยะเอดส์ (AIDS) หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นได้

นอกจากการการติดเชื้อไวรัส HIV แล้ว ผื่น HIV ยังอาจเกิดจากการใช้ยาต้านเชื้อไวรัส HIV อย่างยากลุ่ม NNRTI (Non-nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors) ภาวะแทรกซ้อนอย่างการติดเชื้อฉวยโอกาส การติดเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ อย่างซิฟิลิส เริม หรือหูดข้าวสุกได้ด้วย 

รู้จักผื่น HIV สัญญาณของการติดเชื้อ HIV

ผื่น HIV เป็นอย่างไร

ลักษณะของผื่น HIV นั้นเป็นผื่นราบสีแดงหรือม่วง หรือตุ่มนูนขนาดเล็กจำนวนมาก มักมีอาการคันหรือปวด โดยปรากฏขึ้นบริเวณร่างกายส่วนบนอย่างใบหน้า ลำคอ หน้าอก หรือหลังส่วนบน บางรายอาจพบบริเวณมือหรือเท้าได้เช่นกัน 

ผื่น HIV มักเกิดขึ้นภายใน 2 เดือนหลังได้รับเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกาย แต่มักหายไปภายใน 1–2 สัปดาห์ ส่วนผื่นที่เกิดจากการใช้ยาต้านไวรัสหรือผื่นจากเชื้อฉวยโอกาสมักปรากฏภายหลัง

นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจมีอาการอื่น ๆ ร่วมกับการเกิดผื่น HIV ด้วย เช่น มีแผลในปากหรือบริเวณอวัยวะเพศ ต่อมน้ำเหลืองโต ท้องเสีย ท้องไส้ปั่นป่วน ปวดท้อง อาเจียน อ่อนเพลีย ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ไปจนถึงอาการคล้ายไข้หวัดอย่างมีไข้ ตัวสั่น และปวดเมื่อยตามร่างกาย 

  • กรณีที่พบได้ไม่บ่อย บางรายอาจเกิดผื่นแพ้ทางผิวหนังอย่างรุนแรงที่เรียกว่ากลุ่มอาการสตีเวนส์จอห์นสัน (Stevens-Johnson Syndrome) ซึ่งเป็นผื่นแพ้จากยารักษาการติดเชื้อไวรัส HIV อย่างรุนแรงที่ควรไปพบแพทย์โดยด่วน ผู้ป่วยมักจะมีไข้ เกิดผื่นแดงที่มีอาการปวด ตุ่มพุพองลามไปตามผิวหนัง ปาก จมูก หรือตาอย่างรวดเร็ว 

ผื่น HIV รักษาอย่างไร

การรักษาผื่น HIV จะขึ้นอยู่กับสาเหตุของผู้ป่วยแต่ละคน โดยแพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยใช้ยาบรรเทาอาการผื่นคันที่สามารถหาซื้อได้เอง เช่น ยาไฮโดรคอร์ติโซน (Hydrocortisone) หรือยาไดเฟนไฮดรามีน (Diphenhydramine) หรืออาจสั่งจ่ายยาชนิดอื่นตามที่เห็นสมควรในกรณีที่ผื่น HIV มีอาการรุนแรง สำหรับผู้ป่วยที่มีผื่นจากการใช้ยาต้านไวรัส HIV อาจต้องหยุดใช้ยาดังกล่าวเพื่อให้อาการหายไปก่อน 

นอกจากนี้ ผู้ป่วยอาจบรรเทาอาการผื่นที่ไม่รุนแรงได้ด้วยการหลีกเลี่ยงอากาศร้อน การอยู่กลางแจ้ง หรือสัมผัสกับแสงแดดโดยตรง และไม่ควรอาบน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน เพราะอาจส่งผลให้อาการแย่ลง 

เนื่องจากผื่น HIV มีลักษณะคล้ายผื่นจากปัญหาสุขภาพอื่น ๆ อย่างไข้หวัดหรืออาการแพ้ จึงอาจทำให้ผู้ป่วยละเลยการไปพบแพทย์ด้วยคิดว่าไม่นานก็หายดี ส่งผลให้เข้าถึงการรักษาการติดเชื้อ HIV ได้ช้า และอาจเสี่ยงต่อการดำเนินไปสู่โรคเอดส์ มากขึ้น
ดังนั้น หากพบผื่นตามผิวหนังที่เข่าข่ายผื่น HIV โดยเฉพาะคนที่มีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้สวมถุงยางอนามัย เปลี่ยนคู่นอนบ่อย ใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น สัมผัสกับเลือดหรือสารคัดหลั่งของผู้ป่วย HIV ควรรีบไปพบแพทย์ทันที โดยสามารถเข้ารับบริการตรวจหาเชื้อ HIV ได้ที่คลีนิคนิรนาม สภากาชาดไทย และโรงพยาบาลประจำจังหวัดทั่วประเทศ