รับมือกับฝ้าและปัญหาผิวหน้าของวัย 40+ อย่างถูกวิธี

เมื่ออายุมากขึ้นเป็นธรรมดาที่ต้องเผชิญกับฝ้าและปัญหาผิวมากมาย เพราะการผลัดเซลล์ผิวที่ใช้เวลานานขึ้นตามอายุหรือผิวโดนทำร้ายจากมลภาวะและสภาพแวดล้อมได้ง่าย แม้ว่าฝ้าจะเป็นปัญหาที่ไม่เป็นอันตราย แต่อาจทำให้เราสูญเสียความมั่นใจได้ไม่น้อยเมื่อส่องกระจกแล้วเห็นรอยด่างดำกระจายอยู่ทั่วใบหน้า 

ฝ้ามีส่วนคล้ายคลึงกับปัญหาผิวอย่างกระ หากต้องการรักษาให้หายควรปรึกษาแพทย์เพื่อการดูแลรักษาที่ตรงจุด อย่างไรก็ตาม ฝ้าหรือจุดด่างดำตามวัยอาจจางลงได้หากเราดูแลตัวเองอย่างถูกวิธี เลือกผลิตภัณฑ์ดูแลผิวสำหรับวัย 40 ที่เหมาะสมและมีคุณภาพ ใช้ยาหรือเข้ารับการรักษาด้วยเลเซอร์ภายใต้การดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ฝ้า

ฝ้าและปัญหาผิวหนังของวัย 40+ เกิดได้อย่างไร

อายุที่เพิ่มขึ้นมาพร้อมกับสุขภาพร่างกายที่เสื่อมถอย ไม่เว้นแม้กระทั่งสุขภาพผิวพรรณ การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้ผิวหนังคนเราบางลง แห้ง หย่อนคล้อย และขาดความยืดหยุ่น เนื้อเยื่อไขมันใต้ชั้นผิวหนังลดลง บวกกับประสิทธิภาพของกระบวนการผลัดเซลล์ผิวนั้นลดน้อยลง เซลล์ผิวใหม่จึงขึ้นมาทดแทนเซลล์ผิวเก่าได้ยากและต้องใช้เวลานานกว่าปกติ ซึ่งมีส่วนทำให้มีฝ้า ริ้วรอย จุดด่างดำตามวัย สีผิวไม่สม่ำเสมอ ติ่งเนื้อ หรือสิวอุดตันปรากฏบนผิวหนังง่ายขึ้น

ฝ้าในวัยกลางคนยังอาจถูกกระตุ้นจากปัจจัยภายนอกอย่างแสงแดด ฮอร์โมน สารเคมี เครื่องสำอาง หรือยาบางชนิด ทำให้เกิดการเพิ่มจำนวนของเซลล์สร้างเม็ดสีหรือเมลานิน (Melanin) บริเวณผิวหนังชั้นนอก และเมื่อเม็ดสีมีปริมาณมากขึ้นก็จะเกิดความผิดปกติบนผิวหนัง อาทิ จุดด่างดำ รอยดำ น้ำตาล เทา หรือรอยคล้ำ แต่จะไม่มีอาการคันหรือเจ็บตามผิวหนัง ฝ้ามักพบบริเวณหน้าผาก แก้ม จมูก ริมฝีปากบน หรือคาง โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีอายุ 20–40 ปี

เคล็ดลับจัดการฝ้าและปัญหาผิวด้วยตัวเอง  

แม้ฝ้าจะรักษาได้ยากและอาจกลับมาเป็นซ้ำได้ แต่เราอาจลดความเสี่ยงของการเกิดฝ้าและจุดด่างดำตามวัยได้โดยการหลีกเลี่ยงปัจจัยกระตุ้นต่าง ๆ ปกป้องผิวจากแสงแดด รวมทั้งหมั่นดูแลสุขภาพผิวด้วยสกินแคร์หรือผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะสม ดังนี้

ครีมกันแดด

เป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดและรังสียูวี ซึ่งเป็นปัจจัยหนึ่งที่กระตุ้นให้เกิดฝ้าบนใบหน้าและผิวแก่ก่อนวัย โดยควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF30–50 (Sun-Protection Factor) และต้องไม่ลืมทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพื่อประสิทธิภาพในการป้องกันที่ยาวนาน

สกินแคร์สำหรับดูแลผิววัย 40 ที่มีสารช่วยลดปัญหาสีผิว 

ผลิตภัณฑ์บำรุงผิวแต่ละยี่ห้อนั้นมีส่วนผสมที่คล้ายและต่างกันไป บางผลิตภัณฑ์อาจรวมส่วนผสมหลาย ๆ ตัวเข้าด้วยกัน เพื่อช่วยรักษาฝ้าและลดปัญหาผิวที่มักพบได้บ่อยในคราวเดียว ซึ่งจะช่วยประหยัดเวลาและเพิ่มความสะดวกให้ผู้ใช้มากขึ้น โดยส่วนผสมที่นิยมใช้กัน เช่น 

  • สารในกลุ่มเรตินอยด์ (Retinoid) เป็นอนุพันธ์ของวิตามินเอที่ช่วยลดเลือนริ้วรอยตื้นและลดการอุดตันในรูขุมขน แต่อาจทำให้ผิวแห้งหรือระคายเคืองได้โดยเฉพาะหากใช้เป็นครั้งแรกหรือใช้ร่วมกับผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอยชนิดอื่น
  • ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) เป็นสารที่ออกฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสี ช่วยลดเลือนรอยหรือจุดด่างดำในบริเวณที่ต้องการโดยมักเห็นผลหลังใช้ไป 4 สัปดาห์ แต่มีข้อควรระวังและผลข้างเคียงที่อันตราย ต้องปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ทุกครั้ง   
  • สาร Isobutylamido Thiazolyl Resorcinol เป็นสารไวท์เทนนิ่งในกลุ่มรีซอร์ซินอล (Resorcinol) ที่ได้รับการยอมรับจากงานวิจัยหลายชิ้นว่า มีประสิทธิภาพในการลดเลือนฝ้า กระ และจุดด่างดำตามวัย โดยจากงานวิจัยชิ้นหนึ่งพบว่า ใช้แล้วเห็นผลลัพธ์ภายใน 2 สัปดาห์ ช่วยให้ผิวกระจ่างใส และมักไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่พึงประสงค์หลังจากให้ผู้ทดสอบลองใช้สกินแคร์ที่มีส่วนผสมของสารดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง  
  • อาร์คทิอิน (Arctiin) เป็นสารสกัดจากธรรมชาติที่ถูกนำมาใช้ในการดูแลปัญหาผิวอีกตัว จากการศึกษาบางส่วนในหลอดทดลองและในสัตว์พบว่า สารนี้อาจช่วยในการแก้ปัญหาผิวหนังที่เกิดขึ้นตามวัย โดยช่วยลดความหย่อนคล้อยบนใบหน้า ฟื้นบำรุงผิวให้แข็งแรงและทำให้ผิวยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้น  
  • ไฮยาลูรอน (Hyaluron) หรือกรดไฮยาลูนิก (Hyaluronic Acid) จริง ๆ แล้ว เป็นสารที่คล้ายคลึงกับสารที่ร่างกายสร้างขึ้นมาเองตามธรรมชาติ จึงมีความปลอดภัยต่อร่างกายอย่างมาก โดยจะช่วยกักเก็บน้ำไว้ในชั้นผิวหนัง ทำให้ผิวหนังชุ่มชื้น อวบอิ่ม ดูเปล่งปลั่งอยู่เสมอ ซึ่งไฮยาลูรอนที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่จะช่วยเติมเต็มริ้วรอยตื้น ๆ ให้ดูเรียบเนียน ส่วนไฮยาลูรอนที่มีโมเลกุลขนาดเล็กจะช่วยเติมริ้วรอยในชั้นผิวหนังที่ลึกลงไป    

นอกจากการใช้สกินแคร์ดูแลผิวแล้ว ยังสามารถปกป้องสุขภาพผิวในแต่ละวันได้โดยการปรับพฤติกรรมของตัวเอง เช่น กางร่ม สวมหมวกหรือเสื้อแขนยาวปกป้องผิวหนังจากแสงและรังสียูวี หลีกเลี่ยงการอาบแดด หลีกเลี่ยงเครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว หรือสบู่กลิ่นหอมที่ก่อการระคายเคืองผิวหน้า รับประทานอาหารที่อุดมไปด้วยวิตามินดีที่เป็นประโยชน์ต่อผิวหนังอย่างเนื้อสัตว์ ปลาที่มีไขมันสูง เช่น ปลาแซลมอล ปลาทูน่า ตับ นม หรือไข่ เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม หากดูแลตัวเองควบคู่กับการใช้สกินแคร์แล้ว ฝ้าและปัญหาผิวต่าง ๆ ไม่หายไปหรือทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ควรไปพบแพทย์ผิวหนังเพื่อวางแผนการรักษาที่ถูกต้อง โดยแพทย์อาจสั่งจ่ายยาที่เหมาะกับอาการ แนะนำการทำเลเซอร์หรือการรักษาอื่นเพิ่มเติม เพื่อช่วยเสริมให้ฝ้าและรอยด่างดำจางลงเร็วขึ้น