ยาลดความอ้วน ปลอดภัยหรือไม่ ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย

ยาลดความอ้วน หนึ่งตัวช่วยในการลดน้ำหนักที่หลายคนเลือกเพื่อรีดน้ำหนักส่วนเกินออกจากร่างกาย เพราะเชื่อว่าสามารถช่วยให้น้ำหนักลดลงได้เร็ว ซึ่งจริง ๆ แล้วยาชนิดนี้มีทั้งคุณและโทษ จึงมีความจำเป็นที่ผู้คิดจะใช้ยาลดน้ำหนักต้องเรียนรู้เกี่ยวกับยาเหล่านี้ให้มากขึ้น เพื่อความปลอดภัย และการลดน้ำหนักอย่างมีประสิทธิภาพ

ยาลดความอ้วน

ยาลดความอ้วน ถือเป็นเพียงตัวช่วยหนึ่งในการลดน้ำหนักเท่านั้น เพราะมีผลข้างเคียงมาก และต้องใช้ควบคู่กับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ โดยไม่สามารถช่วยให้ผู้ที่ต้องการลดน้ำหนักสามารถบรรลุเป้าหมายได้ด้วยการรับประทานยาเพียงอย่างเดียว ขณะที่ประสิทธิภาพของยาลดความอ้วนจะช่วยให้ลดน้ำหนักลงได้เพียง 5-10% ต่อปีเท่านั้น อีกทั้งยาลดความอ้วนที่ได้รับการรับรองอย่างถูกต้องยังเป็นยาที่ใช้กับคนเฉพาะกลุ่มอีกด้วย

ทั้งนี้คนส่วนใหญ่มักเข้าใจผิดว่ายาลดความอ้วนสามารถใช้ได้กับทุกเพศทุกวัย ซึ่งความจริงแล้วหากเป็นยาที่แพทย์เป็นผู้สั่งจ่าย ก็จะใช้กับผู้ที่ไม่สามารถลดน้ำหนักได้ด้วยการควบคุมอาหาร หรือไม่สามารถออกกำลังกายเนื่องจากปัญหาสุขภาพ เช่น

  • ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) สูงกว่า 30
  • ผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) สูงกว่า 27 และมีปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับโรคอ้วนโดยตรง ได้แก่ โรคเบาหวานชนิดที่ 2 ความดันโลหิตสูง ภาวะคอเลสเตอรอลสูง โรคหัวใจ ความเสี่ยงโรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ

ทั้งนี้ แพทย์จะเลือกชนิดยาที่ใช้โดยพิจารณาจากประวัติสุขภาพและความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยา หรือปฏิกิริยาที่อาจเกิดขึ้นจากการใช้ยาลดความอ้วนร่วมกับยาชนิดอื่น ๆ ที่ผู้ป่วยใช้อยู่

ชนิดของยาลดความอ้วน

ในปัจจุบันยาลดน้ำหนักที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลายแบ่งออกเป็นหลายชนิดและบางครั้งถูกจัดให้เป็นยาชุดในการลดน้ำหนักด้วย อาทิ

  • ยาลดความอยากอาหาร ยาในกลุ่มนี้ได้แก่ เฟนเตอมีน (Phentermine) มีคุณสมบัติในการออกฤทธิ์กับประสาทส่วนกลาง ช่วยลดความอยากอาหาร เป็นยาที่ใช้ร่วมกับการออกกำลังกาย และควบคุมอาหารในผู้ป่วยที่มีความเสี่ยงโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และภาวะคอเลสเตอรอลสูง โดยยาชนิดนี้มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก เพราะยามีลักษณะเป็นสารกระตุ้นคล้ายตัวยาแอมเฟตตามีน (Amphetamine) อีกทั้งยังจัดเป็นวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาทประเภท 2 ฉะนั้นในการใช้จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์อย่างใกล้ชิด
  • ยาฮอร์โมนไทรอยด์ ในกรณีที่ผู้ป่วยมีภาวะพร่องไทรอยด์ แพทย์จะสั่งใช้ยาฮอร์โมนไทรอยด์เพื่อให้ระบบเผาผลาญของร่างกายทำงานได้มากยิ่งขึ้น แต่ก็มีผลข้างเคียงมาก เพราะอาจทำให้น้ำหนักในส่วนของกล้ามเนื้อลดลงมากผิดปกติ และมีผลกระทบต่อระบบหัวใจและหลอดเลือดได้
  • ยาขับปัสสาวะ เป็นยาที่ช่วยลดน้ำหนักของน้ำในร่างกายโดยผ่านทางการปัสสาวะ แต่ไม่สามารถลดไขมันหรือแคลอรีในร่างกายได้ และอาจทำให้ร่างกายขาดเกลือแร่ ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย อวัยวะต่าง ๆ ทำงานผิดปกติ และอาจรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้
  • ออร์ลิสแตท (Orlistat) เป็นยาที่มีคุณสมบัติในการบล็อกไขมันจากอาหารที่รับประทานเข้าไปในร่างกาย ไม่ให้ร่างกายดูดซึมไขมันเหล่านั้นเข้าไปสะสมในร่างกายเพิ่ม ถือเป็นยาที่ช่วยในการลดน้ำหนักได้ และลดความเสี่ยงภาวะโยโย่ได้อีกด้วย แต่จะต้องใช้ร่วมกับการรับประทานอาหารที่ควบคุมแคลอรีด้วยจึงจะได้ผลดี ยาชนิดนี้สามารถใช้ได้ในผู้ใหญ่เท่านั้น
  • ลอร์คาเซริน (Lorcaserin) เป็นยาที่ใช้ร่วมกับการควบคุมอาหารและการออกกำลังกาย โดยยาจะส่งผลต่อสัญญาณทางเคมีที่ควบคุมความอยากอาหาร ช่วยให้ผู้ที่ใช้ยานี้รู้สึกอิ่มเร็ว และรับประทานอาหารได้น้อยลง ในบางกรณียาลอร์คาเซรินก็มักใช้กับผู้ป่วยโรคอ้วนที่มีความเกี่ยวข้องกับโรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง และภาวะคอเลสเตอรอลสูง
  • เฟนเตอมีนและโทพิราเมท ชนิดออกฤทธิ์เร็ว (Phentermine และ Topiramate-extended Release) เป็นยาที่มีส่วนประกอบของยา 2 ชนิดที่ใช้เพื่อควบคุมความอยากอาหาร โดยกลไกการทำงานของยาชนิดนี้จะส่งผลต่อสัญญาณทางเคมีในสมอง และระบบประสาทส่วนกลาง ช่วยให้การลดน้ำหนักมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก็ต้องใช้ร่วมกับการออกกำลังกาย ควบคุมอาหาร และการปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตด้วย
  • ยาลดการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ยาชนิดนี้ไม่ใช่ยาลดน้ำหนัก แต่ช่วยลดผลข้างเคียงของยาชนิดอื่นต่อการทำงานของกระเพาะอาหาร ด้วยการลดการหลั่งของกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้ผู้ใช้ยาลดความอ้วนเสี่ยงต่อโรคกระเพาะน้อยลง
  • ยาลดอัตราการเต้นของหัวใจ โดยส่วนใหญ่แล้วยากลุ่มนี้จะช่วยรักษาโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด เช่น โรคหัวใจผิดจังหวะและโรคความดันโลหิตสูง แต่ที่นำมาใช้ร่วมกับยาลดความอ้วนก็เพื่อลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาลดความอยากอาหารหรือยาฮอร์โมนไทรอยด์ แต่ก็มีผลข้างเคียง เช่น เหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย หัวใจเต้นช้า ความดันโลหิตต่ำ เป็นต้น
  • ยานอนหลับ ใช้เพื่อลดผลข้างเคียงจากการใช้ยาในกลุ่มยาลดความอยากอาหารที่มีฤทธิ์กดประสาท แต่เป็นยาที่ต้องใช้ภายใต้คำแนะนำของแพทย์ เพราะหากใช้มากเกินไปอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
  • อาหารเสริม (Dietary Supplements) อาหารเสริมและสมุนไพรที่ใช้ในการลดน้ำหนัก จะมีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้ร่างกายสามารถเผาผลาญได้ดีขึ้น แต่ไม่สามารถช่วยลดน้ำหนักได้โดยตรง อีกทั้งยังไม่มีการศึกษาว่ายาเหล่านี้จะมีประสิทธิภาพและปลอดภัยหรือไม่ ซึ่งก่อนที่จะนำมาวางจำหน่ายได้ จะต้องได้รับการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้ยามีส่วนประกอบที่อาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพได้

ยาลดความอ้วนมีประโยชน์อย่างไร ?

ยาลดความอ้วนนั้นเปรียบเสมือนดาบ 2 คม คือมีทั้งประโยชน์และโทษต่อผู้ใช้ โดยยาตามใบสั่งแพทย์ถือเป็นยาลดความอ้วนที่ค่อนข้างปลอดภัย เนื่องจากมีการรับรองที่ชัดเจน และก่อนแพทย์จะสั่งยาให้กับผู้ป่วย แพทย์จะต้องศึกษาถึงประโยชน์และผลข้างเคียงจากการใช้ยาแล้วเป็นอย่างดี อีกทั้งหากใช้ร่วมกับการออกกำลังกายและการควบคุมอาหารก็จะช่วยให้การลดน้ำหนักเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยยาลดความอ้วนจะส่งผลดีกับผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) มากกว่า 30 หรือผู้ที่มีดัชนีมวลกาย (BMI) 27 ขึ้นไป และมีปัญหาสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับน้ำหนักโดยตรง เพราะยาเหล่านี้นอกจากจะช่วยในเรื่องการลดน้ำหนักแล้วก็ยังช่วยควบคุมปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ด้วย เช่น ช่วยลดความดันโลหิต ลดระดับไขมันในเลือด ลดระดับน้ำตาลในเลือด และเพิ่มความต้านทานของอินซูลิน

อันตรายจากยาลดน้ำหนักที่ควรระวัง

การใช้ยาลดความอ้วนไม่ใช่คำตอบสำหรับทุกคนเสมอไป เพราะหากใช้อย่างไม่ระมัดระวังก็จะส่งผลข้างเคียงต่อสุขภาพได้ ผลข้างเคียงที่มักพบในการใช้ยาลดความอ้วน ได้แก่

  • อัตราการเต้นของหัวใจเร็วขึ้น
  • ความดันโลหิตสูงขึ้นผิดปกติ
  • นอนไม่หลับ
  • วิตกกังวล
  • ปวดศีรษะ วิงเวียนศีรษะ
  • มีอาการอ่อนแรง
  • ลิ้นเปลี่ยนรส หรือรู้สึกถึงรสโลหะภายในปาก
  • ปากแห้ง
  • มีอาการชาตามผิวหนัง
  • คลื่นไส้ ท้องเสีย หรือมีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร
  • เป็นตะคริวที่ท้อง
  • มีปัญหาที่ตับ

นอกจากนี้ยาลดความอ้วนบางชนิดก็อาจมีผลข้างเคียงเฉพาะซึ่งอาจพบได้ ดังนี้

  • ออร์ลิสแตท (Orlistat) ผลข้างเคียงส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่ระบบย่อยอาหาร ซึ่งได้แก่ อุจจาระมีคราบไขมัน หรือมีอาการคล้ายท้องเสีย เนื่องจากยาชนิดนี้จะบล็อกไขมันจากระบบย่อยอาหาร และกำจัดออกมาทางอุจจาระ ทำให้อุจจาระมีลักษณะเปลี่ยนไป นอกจากนี้ยังอาจพบอาการอื่น ๆ เช่น ท้องอืดหรือลำไส้แปรปรวนได้ จึงทำให้ยาชนิดนี้ไม่เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาในเรื่องการดูดซึมสารอาหารของร่างกาย สตรีตั้งครรภ์และให้นมบุตร ผู้ที่รับประทานยาละลายลิ่มเลือด หรือยาต้านเกล็ดเลือด และผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับการไหลเวียนของน้ำดีจากตับ
  • ลอร์คาเซริน (Lorcaserin) ผลข้างเคียงที่อาจพบคือ ปวดศีรษะ คลื่นไส้ วิงเวียนศีรษะ อ่อนเพลีย ปากแห้ง ท้องผูก ไม่ควรรับประทานเกินวันละ 10 มิลลิกรัม 2 ครั้งต่อวัน
  • เฟนเตอมีน (Phentermine) ส่งผลให้เกิดความดันโลหิตสูง อัตราการเต้นหัวใจผิดปกติ นอนไม่หลับ วิตกกังวล อยู่ไม่สุข และอาจเกิดการเสพติดได้หากใช้ในระยะยาว
  • เฟนเตอมีนและโทพิราเมท ชนิดออกฤทธิ์เร็ว (Phentermine และ Topiramate-extended Release) อาจมีอาการข้างเคียง เช่น มีอาการเหน็บชาตามปลายมือและเท้า วิงเวียนศีรษะ ลิ้นเปลี่ยนรส นอนไม่หลับ ท้องผูก และปากแห้ง

ทั้งนี้ยาลดความอ้วนอย่างเฟนเตอร์มีนเป็นยาที่ควรใช้ในระยะสั้นไม่เกิน 12 สัปดาห์ เพราะอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ไม่คาดคิดได้ ส่วนยาออร์ลิสแตท (Orlistat) องค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริการะบุว่าสามารถใช้ได้ในระยะยาว หรือจนกว่าแพทย์จะสั่งหยุด ขณะที่ยาลดความอ้วนซึ่งไม่ผ่านการรับรองจากสำนักงานคณะกรรมอาหารและยา หรือเป็นยาลดความอ้วนที่ขายนอกร้านขายยา ก็อาจเสี่ยงต่ออาการไม่พึ่งประสงค์ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพ ที่อาจทำให้ผู้ใช้ถึงแก่ชีวิตได้

ยาลดความอ้วน ใช้อย่างไรให้ปลอดภัย ?

วิธีที่ดีที่สุดในการใช้ยาลดความอ้วน คือ เมื่อตัดสินใจที่จะลดน้ำหนักด้วยการใช้ยา ควรไปปรึกษาแพทย์ เพื่อให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาและแนะนำจะดีที่สุด โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจ และผู้ที่ต้องรับประทานยาอื่น ๆ ตามใบสั่งแพทย์ ควรให้แพทย์เป็นผู้อนุญาตใช้ยาลดความอ้วน เพราะการใช้ยาเองตามอำเภอใจจะส่งผลกระทบต่อคนที่ต้องรับประทานยาอื่น ๆ อยู่ และอาจยิ่งทำให้อาการป่วยที่เป็นก่อนหน้ารุนแรงขึ้น

ขณะเดียวกัน เมื่อแพทย์สั่งใช้ยาลดความอ้วนแล้ว แพทย์จะแนะนำให้ผู้ใช้ยาปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารและออกกำลังกายให้มากขึ้น จากนั้นแพทย์และนักโภชนาการจะร่วมกันติดตามผลของผู้ใช้เพื่อดูผลสัมฤทธิ์ในการลดน้ำหนัก หากพบว่าผู้ใช้มีข้อจำกัดบางอย่างในการใช้ยา ทั้งตัวแพทย์และผู้ใช้อาจต้องปรึกษาเพื่อเปรียบเทียบกันระหว่างความเสี่ยงกับประโยชน์ที่จะได้รับว่าคุ้มค่ากันหรือไม่

สตรีมีครรภ์ใช้ยาลดความอ้วนได้หรือไม่ ?

ยาลดความอ้วนเป็นยาที่ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตรโดยเด็ดขาด เพราะภาวะน้ำหนักขึ้นมากกว่าเกณฑ์ปกติในช่วงตั้งครรภ์จำเป็นจะต้องได้รับการตรวจวินิจฉัย เพราะอาจเกิดจากความผิดปกติอื่น ๆ เช่น เบาหวานหรือครรภ์เป็นพิษ อีกทั้งยาชนิดนี้อาจมีผลข้างเคียงที่ทำให้ความดันโลหิตสูงขึ้น และยิ่งทำให้การทำงานของหัวใจที่ผิดปกติในช่วงตั้งครรภ์รุนแรงขึ้น สำหรับสตรีที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร การใช้ยาอาจทำให้สารบางอย่างในยาตกค้างในน้ำนม ทำให้เด็กได้รับสารเคมีที่อาจเป็นอันตรายได้เช่นกัน

รับประทานยาลดความอ้วนแล้วไม่ต้องออกกำลังกายได้หรือไม่ ?

การรับประทานยาลดความอ้วนเพียงอย่างเดียวโดยไม่ออกกำลังกายหรือควบคุมอาหารอาจไม่สามารถช่วยให้ลดน้ำหนักได้เพราะยาชนิดนี้ไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อช่วยลดน้ำหนักโดยตรง แต่ต้องมีปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วยจึงจะช่วยให้น้ำหนักลดลงได้ นอกจากนี้ ในกรณีที่น้ำหนักเกินมาก ๆ จนทำให้รูปร่างเปลี่ยน การออกกำลังกายร่วมกับการใช้ยาลดความอ้วน จะช่วยให้รูปร่างกับมากระชับได้ไวขึ้นอีกด้วย
แม้ว่าการลดน้ำหนักด้วยยาลดความอ้วนจะเป็นวิธียอดนิยม แต่ผู้ใช้ก็ควรใช้ยาควบคู่กับวิธีอื่น ๆ ด้วย เพื่อให้การลดน้ำหนักเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหากสามารถลดน้ำหนักได้ตามเป้าหมายแล้ว ผู้ใช้ควรปรึกษาแพทย์ในเรื่องการหยุดยาและไม่ควรหยุดยาด้วยตนเอง เพราะยาบางชนิดอาจมีผลข้างเคียงที่ค่อนข้างอันตราย โดยแพทย์อาจลดปริมาณยาหรือเปลี่ยนยาที่ใช้ และเพิ่มการออกกำลังกาย รวมถึงการควบคุมอาหารอย่างสม่ำเสมอให้มากขึ้นเพื่อป้องกันการกลับมาสู่ภาวะน้ำหนักเกินอีกครั้งในภายหลัง