ยาถ่ายพยาธิ

ยาถ่ายพยาธิ

ยาถ่ายพยาธิ คือยาที่ใช้สำหรับกำจัดพยาธิชนิดต่าง ๆ ออกฤทธิ์โดยทำให้พยาธิอดตายหรือหยุดเคลื่อนไหวและถูกขับออกมาจากร่างกายผ่านการขับถ่าย บางชนิดอาจป้องกันการฟักตัวของไข่พยาธิและช่วยไม่ให้พยาธิเพิ่มจำนวนขึ้นได้ด้วย

ยาถ่ายพยาธิ

ยาถ่ายพยาธิที่นิยมใช้ในปัจจุบัน ได้แก่

  • อัลเบนดาโซล เป็นยาถ่ายพยาธิที่แพทย์นิยมใช้เป็นหลัก เพราะรักษาการติดเชื้อพยาธิได้เกือบทุกชนิดในไทย ทั้งพยาธิตัวกลมและพยาธิตัวตืด แต่ห้ามใช้ยานี้กับสตรีมีครรภ์ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อทารกได้
  • มีเบนดาโซล ใช้กำจัดพยาธิแส้ม้า พยาธิเข็มหมุด พยาธิตัวกลม พยาธิปากขอ และอาจใช้ในกรณีที่มีการติดเชื้อพยาธิหลายชนิดพร้อมกัน
  • พราซิควอนเทล ใช้รักษาพยาธิใบไม้ต่าง ๆ เช่น พยาธิใบไม้ในเลือด พยาธิใบไม้ในตับ เป็นต้น
  • ไอเวอร์เมคติน ใช้รักษาการติดเชื้อพยาธิสตรองจิลอยด์ สเตอร์โคราลิส (Strongyloides stercoralis) และพยาธิไส้เดือน ทั้งยังนำมาใช้รักษาเหา หิด  เปลือกตาอักเสบ และโรคเท้าช้างได้

คำเตือนในการใช้ยาถ่ายพยาธิ

ยาถ่ายพยาธิแต่ละชนิดล้วนมีข้อบ่งชี้ในการใช้และข้อควรระวังที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น ควรศึกษาวิธีการใช้ยาและอ่านคำเตือนบนฉลากอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนใช้ เพื่อป้องกันผลข้างเคียงอันไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาผิดวิธี

ตัวอย่างข้อควรระวังในการใช้ยาถ่ายพยาธิ ได้แก่

  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยา รวมถึงยาชนิดอื่น อาหาร หรือสารใด ๆ
  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากมีอาการเจ็บป่วยหรือกำลังใช้ยาชนิดอื่นอยู่
  • หญิงที่กำลังวางแผนตั้งครรภ์หรือไม่แน่ใจว่ากำลังตั้งครรภ์หรือไม่ ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยาถ่ายพยาธิ
  • เด็ก สตรีมีครรภ์ หรือผู้ที่อยู่ในช่วงให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยานี้
  • การรักษาโรคพยาธิแต่ละชนิดใช้ยาถ่ายพยาธิในปริมาณและประเภทที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยควรใช้ยาตามคำแนะนำของแพทย์

ผลข้างเคียงจากการใช้ยาถ่ายพยาธิ

ยาถ่ายพยาธิเป็นยาที่ค่อนข้างปลอดภัยและก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้น้อย อย่างไรก็ตาม ผู้ใช้ยาบางรายอาจมีอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาได้ เช่น

  • ปวดเกร็งที่ท้อง
  • มีแก๊สในกระเพาะอาหาร
  • ท้องเสีย
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ไม่อยากอาหาร
  • เวียนศีรษะหรือปวดศีรษะ
  • มีไข้ต่ำ
  • มีผื่นขึ้นตามผิวหนัง

ทั้งนี้ หากอาการดังกล่าวไม่ดีขึ้นหรือแย่ลงควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร และควรไปพบแพทย์โดยทันที หากพบผลข้างเคียงรุนแรงต่อไปนี้

  • อาการแพ้ยา เช่น ผื่น ลมพิษ หายใจไม่ออก ใบหน้า ริมฝีปาก ลิ้น หรือคอบวม
  • มีอาการบ่งบอกถึงความผิดปกติของตับ เช่น รู้สึกเหนื่อย คลื่นไส้ ปวดท้องส่วนบน ไม่อยากอาหาร ปัสสาวะสีเข้มขึ้น อุจจาระสีซีด มีอาการดีซ่าน เป็นต้น
  • อาการของภาวะกดไขกระดูก เช่น อ่อนแรงอย่างเฉียบพลัน รู้สึกไม่สบาย มีไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ เหงือกบวมแดง มีแผลในปาก มีปัญหาในการกลืน หรือมีรอยฟกช้ำและมีเลือดออกง่ายกว่าปกติ
  • มีปัญหาผิวหนังรุนแรง เช่น ใบหน้าและลิ้นบวม เกิดแผลบริเวณดวงตา จมูก ปาก หรืออวัยวะเพศ มีผื่นเป็นบริเวณกว้าง เกิดตุ่มน้ำ ผิวลอก เป็นต้น