รับมือกับอาการบ้างาน ก่อนป่วยไม่รู้ตัว

เนื่องด้วยสภาพสังคมที่มีการแข่งขันสูงขึ้น หลายคนจึงทุ่มเทให้กับการทำงานอย่างหามรุ่งหามค่ำจนอาจถูกคนที่ใกล้ชิดมองว่าเป็นคนบ้างาน เพราะทำงานอย่างต่อเนื่องแม้ไม่ใช่เวลางาน ไม่ว่าจะเอางานกลับมาทำที่บ้าน ตอบอีเมลหลังเลิกงาน หรือแม้แต่คุยเรื่องงานในวันหยุด 

การขยันทำงานจะเป็นเรื่องที่ดี แต่การทำงานหนักจนขอบเขตระหว่างงานและชีวิตส่วนตัวแคบลงอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคทางจิตเวชได้โดยไม่รู้ตัว มาดูกันว่าสัญญาณไหนที่บ่งบอกว่าคุณกำลังบ้างานเกินไป และจะรับมือกับอาการบ้างานได้อย่างไร

ออฟฟิศซินโดรม

คุณเป็นคนบ้างานจนเกินปกติหรือไม่ 

หากอธิบายในแง่ของจิตวิทยา อาการบ้างานมักพบได้ในคนที่มีบุคลิกสมบูรณ์แบบ มีมาตรฐานการทำงานสูง เจ้าระเบียบ ชอบแข่งขัน มีความทะเยอทะยาน ยึดมั่นในหลักเกณฑ์ เอาจริงเอาจัง หรือจิตใจจดจ่อกับการทำงานจนเกิดการแสดงออกทางพฤติกรรมในลักษณะคล้าย ๆ อาการเสพติด คล้ายอาการติดเหล้าหรือติดยา

คงเป็นการยากหากจะบอกว่าใครทำงานหนักจนเข้าขั้นบ้างานมากและเสี่ยงต่อการเป็นโรคทางจิตเวช ในเบื้องต้นอาจลองสำรวจตนเองคร่าว ๆ ว่าเข้าข่ายบ้างานหรือไม่ด้วยการตอบคำถามเหล่านี้

  • วัน ๆ ทำแต่งานโดยไม่สนใจเรื่องสำคัญเรื่องอื่น ๆ ในชีวิตตนเองเลยหรือไม่
  • ทำงานจนไม่สนใจเรื่องสุขภาพของตนเองหรือไม่
  • คนใกล้ชิดหรือคนรอบข้างบ่นว่าคุณทำงานเยอะเกินไปหรือไม่
  • ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับครอบครัวและเพื่อนแย่ลง เพราะการทำงานมากเกินไปหรือไม่
  • ทำงานหนักมากกว่าเพื่อนร่วมงานของคุณหรือไม่
  • เกิดความรู้สึกในแง่ลบเมื่องานไม่เป็นไปตามที่คาดหวังหรือไม่
  • นึกถึงแต่เรื่องงานและมีความกระวนกระวายหากไม่ได้ทำงานหรือไม่

บ้างาน พาลป่วยจิตเวชได้จริงหรือ

นอกจากอาจจะก่อให้เกิดอาการเจ็บป่วยทางด้านร่างกายแล้ว การบ้างานยังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการป่วยทางใจได้เช่นกัน 

จากงานวิจัยในวารสารวิชาการ PLOS One ของมหาวิทยาลัยเบอร์เกน (Bergen University) ประเทศนอร์เวย์ ได้ศึกษาถึงความสัมพันธ์ระหว่างการบ้างานกับโรคทางจิตเวชพบว่า คนที่บ้างานบางส่วนมักมีอาการคล้ายกับโรคสมาธิสั้น ย้ำคิดย้ำทำ ภาวะซึมเศร้า และมีอาการวิตกกังวลมากกว่ากลุ่มคนที่ไม่บ้างาน

จัดการงานอย่างไรให้เวิร์คกับชีวิต

การทำงานที่ดีไม่จำเป็นต้องโหมงานหนักตลอดทั้งวัน หากรู้ตัวว่าเป็นคนบ้างานเกินไป ควรลองปรับทัศนคติในการทำงาน และเปลี่ยนพฤติกรรมเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน เพื่อช่วยให้การทำงานและความสัมพันธ์ในด้านอื่น ๆ อยู่ในระดับที่สมดุลกัน

1. จัดลำดับความสำคัญ

การทำงานอย่างชาญฉลาดไม่จำเป็นต้องทำงานหนัก แต่ควรเป็นการทำงานที่ใช้เวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดได้คุ้มค่า โดยการลำดับความสำคัญและความเร่งด่วนของงานที่ควรทำในวันนั้น ๆ เพราะการบริหารเวลาที่ดีจะช่วยลดเวลาในการทุ่มแรงไปอย่างเปล่าประโยชน์ และได้งานที่มีประสิทธิภาพ

2. จำกัดขอบเขตการทำงาน

การสร้างนิสัยในการทำงานอย่างเป็นระบบจะช่วยให้การทำงานไม่เบียดเวลาส่วนตัว และมีแรงกระตุ้นในการทำงานที่ดีกว่าการทำงานจุกจิกเล็กน้อยแต่ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน 

นอกจากจะส่งผลกระทบต่อตนเองแล้ว การทำงานหนักหรือการหอบงานกลับไปทำที่บ้านยังส่งผลกระทบในด้านความสัมพันธ์อีกด้วย เมื่อเลิกงานแล้วก็ควรหยุดงานไว้ที่ออฟฟิศและพักผ่อนให้เต็มที่ เพื่อให้ตนเองได้มีแรงและกำลังใจที่จะทำงานในวันต่อ ๆ ไป

3. ปล่อยให้ชีวิตมีอิสระ

การจมอยู่กับงานและติดต่อกับคนรอบข้างแค่เพียงในโลกออนไลน์คงไม่เพียงพอ ลองออกไปกระชับความสัมพันธ์กับคนอื่นในชีวิตจริงให้มากขึ้น การออกไปท่องเที่ยวพบปะผู้คน หรือทำกิจกรรมที่ชอบในวันว่างอาจช่วยให้คุณมีแรงบันดาลใจใหม่ ๆ หรือได้มุมมองที่หลากหลาย อาจทำให้คุณพร้อมรับมือกับการทำงานต่าง ๆ ได้ดีขึ้น

นอกจากวิธีในข้างต้นแล้ว คนที่บ้างานหรือมีความรู้สึกว่าอยากทำงานอยู่ตลอดเวลาจนรู้สึกว่างานกระทบกับชีวิตส่วนตัวมากเกินไป อาจลองหาเวลาไปพบแพทย์ เพื่อให้แพทย์ได้ตรวจหาสาเหตุที่ถูกต้อง และช่วยวางแผนแนวทางการรับมือที่เหมาะสมให้

การ work hard ไม่ใช่การ work smart เสมอไป ลองปรับมุมมองการใช้ชีวิต และลองเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง คุณอาจทำงานได้มากขึ้น มีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งมีความสุขในการใช้ชีวิตมากขึ้นอีกด้วย