ถามแพทย์

  • ปวดท้องใต้ลิ้นปี่และแน่นท้องหลังทานอาหาร คลื่นไส้ อยากอาเจียน เป็นโรคอะไร มีปวดท้องมากขณะมีประจำเดือนด้วย

  •  Liwly
    สมาชิก
    สวัสดีค่ะ ดิฉันมีอาการปวดท้องกลางๆท้อง ใต้ลิ้นปี่ และแน่นท้องหลังจากรับประทานอาหารเย็นเสร็จแม้จะนั่งพักก่อนนอน2ชม.แล้วค่ะ เมื่อกดบริเวณท้องน้อยข้างซ้ายจะเจ็บจี๊ดๆด้วยค่ะ เวลานอนหายใจไม่ค่อยสะดวกค่ะรู้สึกคลื่นไส้เหมือนจะอ้วกด้วยค่ะ อยากปรักษาคุณหมอว่าอาการดังกล่าวเสี่ยงต่อการเป็นโรคอะไรไหมค่ะ ชอบปวดท้องแรงๆเวลามีประจำเดือนด้วยค่ะเลยต้องทานยาแก้ปวดประจำเดือนทุกเดือน ปล.แต่ก่อนชอบทานก๋วยเตี๋ยวต้มยำตอนเที่ยงเป็นประจำเลยค่ะและชาเขียวด้วย

    สวัสดีค่ะ คุณ Liwly,

                       อาการปวดท้องบริเวณใต้ลิ้นปี่  แน่นท้องหลังทานอาหาร คลื่นไส้ อยากอาเจียน อาจเกิดจาก

                     1.โรคกระเพาะอาหารอักเสบ  ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดบริเวณท้องส่วนบน อาจเป็นบริเวณลิ้นปี่ลงไปถึงเหนือสะดือหรือปวดค่อนไปทางด้านซ้าย อาจปวดแบบจุกแน่น หรือแสบร้อน และปวดร้าวทะลุไปหลังได้ นอกจากนี้อาจมีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย อิ่มเร็ว เรอบ่อย คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น

                     2.โรคกรดไหลย้อน อาการจะคล้ายๆ กับกระเพาะอาหารอักเสบ แต่จะมีอาการแสบร้อนกลางอกหรือแน่นหน้าอกร่วมด้วย หรือมีน้ำรสเปรี้ยวหรือขมในคอ หรือเจ็บคอ ระคายเคืองคอ เป็นต้น 

                    ในเบื้องต้น แนะนำให้ทานอาหารอ่อน อาหารที่ย่อยง่าย งดการทานเนื้อสัตว์ปริมาณมาก และไม่ทานอาหารจนอิ่มเกินไป ควรเคี้ยวช้าๆ ให้ละเอียด ไม่ทานและกลืนเร็ว อาหารต้องรสไม่จัด ดังนั้น ควรงดทานก๋วยเตี๋ยวต้มยำไปก่อน ไม่ทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารทอดต่างๆ ไม่ดื่มน้ำอัดลม อัดแก๊สต่างๆ รวมถึงชา (ไม่ว่าจะเป็นชาชนิดใดก็ตาม) กาแฟ โกโก้ แอลกอฮอล์ และไม่ควรทานอาหารก่อนนอนภายใน 2 ชั่วโมง

                    ห้ามทานยาแก้ปวดในกลุ่ม NSAIDs เช่น แก้ปวดเมื่อย ปวดข้อ ปวดประจำเดือน เป็นต้น  

                    หากอาการยังไม่บรรเทา อาจทานยาลดกรด เช่น ยาธาตุน้ำขาว ยาที่ช่วยยับยั้งการหลั่งกรด เช่น แรนิทิดีน (ranitidine) ยาโอเมพราโซล (omeprazole) เป็นต้น ยาที่ช่วยย่อยอาหาร ลดแก๊สในกระเพาะอาหาร ลดอาการแน่นท้อง เช่น ไดเจสติน (digestin), มาเจสโต (magesto-F) หรือยาไซเมทิโคน (simethicone) เป็นต้น

                    หากได้ปฏิบัติตัวดังกล่าวแล้ว อาการยังไม่ดีขึ้น รุนแรงขึ้น หรือมีอาการอื่นๆ อีก ก็ควรไปพบแพทย์ค่ะ

                    สำหรับอาการปวดประจำเดือน หากเพิ่งมาเริ่มปวดในช่วงอายุมากกว่า 25 ปี ไม่ได้ปวดมาตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น อาการปวดเป็นรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ หรือยังคงปวดต่อเนื่องแม้ประจำเดือนจะหมดไปแล้ว ถือว่าเป็นอาการปวดประจำเดือนที่ผิดปกติ   ซึ่งอาจเกิดจาก มีเนื้องอกมดลูก เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญขึ้นผิดที่ ซีสต์ที่รังไข่ ช็อกโกแลตซีสต์ เป็นต้น ซึ่งหากมีอาการเช่นนี้ ก็ควรไปพบสูติ-นรีแพทย์เพื่อตรวจค่ะ