ขี้ไคลมาจากไหน ขจัดขี้ไคลอย่างไรให้ผิวกระจ่างใส

ผิวหนังของเราเป็นอวัยวะที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดและเป็นปราการชั้นนอกที่ปกคลุมร่างกาย แบ่งเป็น 3 ชั้น ซึ่งขี้ไคลคือการสะสมของเซลล์ผิวที่อยู่บนเซลล์ผิวชั้นนอกสุด (Stratum Corneum) ของผิวชั้นหนังกำพร้า ขี้ไคลมีลักษณะเป็นคราบสีน้ำตาลเข้มหรือดำบนผิวหนัง พบได้ทั่วร่างกาย แต่มักพบบริเวณคอ ข้อพับแขนและขา ข้อเท้า และตาตุ่ม

โดยปกติแล้ววงจรการผลัดเซลล์ผิวจะเริ่มจากการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นที่ชั้นล่างสุดของผิวชั้นหนังกำพร้า (Stratum Basale) จากนั้นจะแบ่งตัวและดันขึ้นมาสู่ชั้นผิวด้านบนทีละชั้นจนถึงชั้นบนสุด (Stratum Corneum) กลายเป็นเซลล์ผิวที่ไม่มีชีวิตและสะสมพอกตัวขึ้น ซึ่งเราเรียกกันว่าขี้ไคลนั่นเอง ขี้ไคลจะค่อย ๆ หลุดออกจากชั้นผิว และจะมีการสร้างเซลล์ผิวใหม่ขึ้นทดแทนในระยะเวลาประมาณ 1 เดือน

อย่างไรก็ตาม กระบวนการผลัดเซลล์ผิวอาจช้าลง เนื่องจากอายุที่เพิ่มมากขึ้น เป็นสิวหรือมีปัญหาผิวบางอย่าง ทำให้กระบวนการผลัดเซลล์ผิวไม่ดีเท่าที่ควรจนเกิดขี้ไคลและสิ่งสกปรกต่าง ๆ สะสมที่ผิวหนัง เมื่อไม่ได้กำจัดออกอาจทำให้เกิดปัญหาผิวอื่นตามมา ไม่ว่าจะเป็นผิวแห้งลอกและสิ่งสกปรกอุดตันในรูขุมขน บทความนี้จึงจะชวนทุกคนมาทำความเข้าใจเกี่ยวกับผิวและวิธีกำจัดขี้ไคลให้ผิวเนียนใส

ขี้ไคลมาจากไหน ขจัดขี้ไคลอย่างไรให้ผิวกระจ่างใส

วิธีกำจัดขี้ไคลให้ผิวสะอาด

แม้ผิวของเราจะผลัดเซลล์ผิวเก่าและสร้างเซลล์ผิวใหม่ทดแทนได้เอง แต่บางครั้งกระบวนการผลัดเซลล์ผิวของร่างกายอาจไม่สมบูรณ์จากปัจจัยต่าง ๆ การผลัดเซลล์ผิว (Exfoliation) จึงเป็นวิธีช่วยกำจัดสิ่งสกปรกและเซลล์ผิวเก่าที่ตกค้างอยู่ได้ดียิ่งขึ้น โดยสามารถแบ่งเป็น 2 รูปแบบ ได้แก่

1. การใช้อุปกรณ์หรือผลิตภัณฑ์สครับผิว (Physical Exfoliation)

วิธีนี้เป็นการใช้แรงขัดผิวให้ขี้ไคลหลุดออกโดยการใช้มือ อุปกรณ์ขัดผิว เช่น ใยบวบ แปรง ฟองน้ำขัดผิว หรือผลิตภัณฑ์สครับผิวที่มีขายทั่วไป

อีกทางเลือกหนึ่งคือการทำสครับผิวใช้เองโดยใช้วัตถุดิบที่หาได้ทั่วไป เช่น น้ำตาล เกลือ ข้าวโอ๊ต มะขามเปียก หรือกากกาแฟผสมกับน้ำมันทาผิวและน้ำมันหอมระเหย ซึ่งสูตรสครับผิวง่าย ๆ มีดังนี้

  • สครับกากกาแฟ โดยใช้กากกาแฟครึ่งถ้วยตวง ผสมกับน้ำร้อน 2 ช้อนชาและน้ำมันมะพร้าวอุ่น 1 ช้อนชา นำมาขัดผิว กากกาแฟจะช่วยขัดขี้ไคลให้หลุดออกและช่วยให้ผิวกระจ่างใสขึ้น
  • สครับเกลือทะเล โดยใช้เกลือทะเลผสมกับน้ำมันทาผิวอย่างละครึ่งถ้วยตวง และอาจผสมน้ำมันหอมระเหยที่ชื่นชอบเพื่อเพิ่มกลิ่นให้ผ่อนคลาย แต่สูตรนี้อาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีผิวระคายเคืองง่าย เพราะเกลือบางชนิดมีเนื้อหยาบ นอกจากนี้อาจทำให้ผิวที่เป็นแผลอยู่แล้วเกิดการระคายเคืองได้
  • สครับน้ำผึ้งและน้ำตาล น้ำผึ้งมีคุณสมบัติต่อต้านแบคทีเรียและมีสารต้านอนุมูลอิสระ สครับสูตรนี้ใช้น้ำผึ้ง 2 ช้อนชา ผสมกับน้ำตาลทรายครึ่งถ้วยตวงและน้ำมันมะพร้าว 1/4 ถ้วยตวง ซึ่งช่วยขัดขี้ไคลให้หลุดออกและคงความชุ่มชื้นไว้ในผิวได้

สำหรับการขัดขี้ไคลบริเวณลำตัวควรอาบน้ำอุ่นเพื่อให้ผิวนุ่มก่อน ซึ่งจะทำให้ขัดขี้ไคลออกได้ง่ายขึ้น แล้วจึงใช้อุปกรณ์ขัดผิวหรือสครับผิวขัดบริเวณแขน ขา ขาหนีบ หรือบริเวณที่มีขี้ไคลเบา ๆ การขัดผิวแรงเกินไปหรือใช้วัตถุดิบเนื้อหยาบในการขัดผิวอาจทำให้ผิวเกิดการระคายเคืองได้ เมื่อขัดผิวเสร็จแล้วให้ล้างออกด้วยน้ำ และเช็ดตัวให้แห้ง

2. การใช้กรดธรรมชาติ (Chemical Exfoliation)

กรดธรรมชาติที่นำมาใช้กำจัดขี้ไคลคือการใช้ผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เช่น สบู่อาบน้ำและโลชั่นทาผิวที่มีส่วนผสมของสารที่ช่วยในการผลัดเซลล์ผิว ซึ่งสารที่นิยมใช้ในการกำจัดขี้ไคลและช่วยปรับผิวให้กระจ่างใส ได้แก่

AHA (Alpha Hydroxy Acids) เช่น กรดแลคติก (Lactic Acid) กรดไกลโคลิก (Glycolic Acid) และกรดซิตริก (Citric Acid) ควรใช้ความเข้มข้นไม่เกินร้อยละ 10 และมีค่า pH 3.5 ขึ้นไป หรือ BHA (Beta Hydroxy Acids) เช่น กรดซาลิไซลิก (Salicylic Acid) ควรใช้ความเข้มข้นอยู่ที่ร้อยละ 1.5–2

การใช้สารเคมีเหล่านี้อาจฟังดูรุนแรงและทำร้ายผิว แต่หากเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีความอ่อนโยนต่อผิวและมีความเข้มข้นของกรดต่าง ๆ ไม่มากเกินไปจะช่วยให้กำจัดขี้ไคลและสิ่งสกปรกต่าง ๆ ได้อย่างปลอดภัย ไม่ทำให้เกิดอาการระคายเคือง และช่วยให้ผิวเรียบเนียน นอกจากการขัดผิวด้วยตัวเอง ในปัจจุบันมีการใช้สารเคมีผลัดเซลล์ผิวที่เข้มข้น (Chemical Peel) ซึ่งควรทำภายใต้คำแนะนำของผู้เชี่ยวชาญ

คำแนะนำในการกำจัดขี้ไคล

การกำจัดขี้ไคลทั้งสองวิธีมีข้อควรรู้และควรระวัง ดังนี้

  • เลือกวิธีขัดขี้ไคลที่เหมาะกับสภาพผิว เช่น ผู้มีผิวแห้งและผิวแพ้ง่ายควรหลีกเลี่ยงการผลัดเซลล์ผิวด้วยการใช้อุปกรณ์หรือผลิตภัณฑ์สครับผิว เพราะการขัดผิวแรง ๆ อาจทำให้ผิวยิ่งแห้งมากขึ้น โดยอาจเลือกใช้สารเคมีผลัดเซลล์ผิวที่อ่อนโยนหรือผ้านุ่ม ๆ เช็ดผิวแทน
  • ไม่ใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีความเข้มข้นของสารเคมีผลัดเซลล์ผิวสูง เพราะอาจทำให้เกิดอาการระคายเคือง เช่น มีรอยแดง แสบ คัน
  • หากใช้สครับหรือสารเคมีขัดผิว ควรใช้ในปริมาณพอเหมาะ ทาทิ้งไว้ประมาณ 30 วินาทีแล้วล้างออกด้วยน้ำอุ่น หากใช้อุปกรณ์ขัดผิว ให้ขัดผิวเบา ๆ เป็นระยะเวลาสั้น ๆ เพื่อป้องกันการระคายเคืองผิว
  • ไม่ควรผลัดเซลล์ผิวบ่อยเกินไป ไม่ว่าจะใช้สารเคมีหรือใช้อุปกรณ์ขัดผิว โดยเฉพาะผู้ที่มีผิวแห้ง ไม่ควรขัดผิวบ่อยกว่าสัปดาห์ละครั้ง
  • ควรทามอยส์เจอร์ไรเซอร์เพื่อเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวหลังขัดขี้ไคล และผู้ที่ใช้สารเคมีผลัดเซลล์ผิวในกลุ่ม AHA ควรทาครีมกันแดดทุกครั้งก่อนออกจากบ้าน เพราะสารกลุ่มนี้อาจทำให้ผิวไวต่อการถูกทำลายจากแสงแดด
  • หากมีแผลจากการถูกของมีคมบาด ผิวไหม้แดด บวมแดง หรือลอก ไม่ควรขัดขี้ไคลหรือใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว เพราะอาจทำให้ผิวระคายเคืองและทำให้อาการแย่ลง
  • ก่อนใช้น้ำมันหอมระเหยในการขัดขี้ไคล ควรทดสอบอาการแพ้ก่อนเสมอ หากมีผื่นแดงคันและแสบร้อน ไม่ควรใช้น้ำมันหอมระเหยชนิดนั้น
  • หากใช้ผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิวแล้วมีอาการแสบผิว ผิวแดง และคัน ควรหยุดใช้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว และหากอาการยังไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา

การกำจัดขี้ไคลไม่ได้มีเพียงการออกแรงขัดอย่างที่ทุกคนคุ้นเคย การใช้สารเคมีที่มีคุณสมบัติผลัดเซลล์ผิวก็ช่วยขจัดขี้ไคลและทำให้ผิวเนียนใสได้ ทั้งนี้ ผู้ที่มีผิวแพ้ง่ายและผู้ที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับการเลือกผลิตภัณฑ์ผลัดเซลล์ผิว ควรปรึกษาแพทย์ผิวหนังเพื่อรับคำแนะนำ