Tricyclics Antidepressants (ยาต้านเศร้ากลุ่มไตรไซคลิก)

Tricyclics Antidepressants (ยาต้านเศร้ากลุ่มไตรไซคลิก)

Tricyclics Antidepressants หรือ TCAs เป็นยาต้านเศร้ากลุ่มไตรไซคลิก ออกฤทธิ์ช่วยเพิ่มระดับสารเซโรโทนินและสารนอร์อิพิเนฟรินในสมอง อาจนำไปใช้ลดอาการที่เกิดจากโรคซึมเศร้าที่ยาต้านเศร้ากลุ่มอื่นรักษาไม่ได้ นำไปใช้กับผู้ที่ดื้อยาต้านเศร้าชนิดอื่น ๆ หรืออาจใช้ป้องกันอาการปวดหัวไมเกรน และรักษาอาการหรือโรคอื่น ๆ เช่น อาการปัสสาวะรดที่นอน อาการย้ำคิดย้ำทำ อาการปวดเรื้อรังที่เกิดจากเส้นประสาท ภาวะแพนิคกำเริบ อาการเครียดหลังเผชิญเหตุการณ์สะเทือนใจ โรควิตกกังวล เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ยากลุ่มนี้อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงค่อนข้างมาก จึงไม่ค่อยถูกนำไปใช้รักษาอาการซึมเศร้าในขั้นแรก ๆ  

ตัวอย่างยาในกลุ่ม Tricyclics Antidepressants มีดังนี้

  • ยาอะมิทริปไทลีน คือ ยาที่ใช้รักษาอาการที่เกิดจากโรคซึมเศร้า รวมถึงอาการปวดปลายประสาทหลังจากเป็นงูสวัด และช่วยป้องกันอาการปวดหัวไมเกรน
  • ยาอิมิพรามีน คือ ยาที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้าในผู้ใหญ่และอาการปัสสาวะรดที่นอนในเด็กที่มีอายุ 6 ปีขึ้นไป
  • ยานอร์ทริปไทลีน คือ ยาที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้า บางครั้งนำไปใช้รักษาโรคแพนิค อาการปวดเส้นประสาทหลังจากเป็นงูสวัด หรือช่วยให้หยุดสูบบุหรี่
  • ยาด็อกเซปิน คือ ยาที่ใช้รักษาโรคซึมเศร้า และอาการวิตกกังวล

นอกจากนี้ แพทย์อาจพิจารณาใช้ยาชนิดอื่น ๆ เพื่อรักษาโรคซึมเศร้าหรือโรคต่าง ๆ ตามกรณีที่มีความจำเป็นด้วย

1968 Tricyclic rs

คำเตือนในการใช้ยา Tricyclics Antidepressants

ยาในกลุ่ม Tricyclics Antidepressants แต่ละชนิดล้วนมีข้อบ่งชี้ ข้อควรระวังในการใช้ยา และส่วนประกอบในยาแตกต่างกันไป ดังนั้น ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบถึงอาการป่วยในปัจจุบัน ประวัติทางการแพทย์ และประวัติการแพ้ยาต่าง ๆ รวมทั้งศึกษาวิธีใช้ยาและคำเตือนบนฉลากให้ดีก่อนใช้ยาเสมอ เพื่อป้องกันการเกิดอาการไม่พึงประสงค์จากการใช้ยาผิดวิธี

ตัวอย่างข้อควรระวังในการใช้ยา Tricyclics Antidepressants ได้แก่

  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยาหากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยาชนิดนี้ รวมถึงหากแพ้ยาชนิดอื่น อาหาร หรือสารใด ๆ
  • แจ้งให้แพทย์ทราบหากกำลังใช้สารหรือรับประทานยาชนิดอื่น ๆ ทั้งยาที่ซื้อใช้เอง ยาตามใบสั่งแพทย์ อาหารเสริม หรือวิตามิน เพราะยาเหล่านี้อาจไปทำปฏิกิริยากับยากลุ่ม Tricyclics Antidepressants ได้
  • ปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยาหากมีโรคประจำตัวหรือมีอาการ เช่น ปัสสาวะไม่ออก เคยมีอาการชัก ต่อมลูกหมากโต เป็นต้อหินมุมปิด มีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจหรือต่อมไทรอยด์ เป็นโรคเบาหวานหรือโรคตับ เป็นต้น เนื่องจากยานี้อาจทำให้อาการที่เป็นอยู่แย่ลงได้
  • หากกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานยา เพราะยากลุ่มนี้อาจทำให้ทารกได้รับอันตราย และหากตั้งครรภ์ในระหว่างที่ใช้ยา ให้เข้าพบแพทย์เพื่อพูดคุยเกี่ยวกับปัจจัยเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น
  • ไม่ควรดื่มแอลกอฮอล์ขณะรับประทานยา เพราะอาจทำให้ประสิทธิภาพของยาลดลง และทำให้ง่วงซึมมากยิ่งขึ้น
  • ยากลุ่ม Tricyclics Antidepressants อาจทำให้เกิดอาการสับสน เลอะเลือน โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอายุมาก
  • หากรับประทานยากลุ่มนี้ร่วมกับยาบางชนิดที่ทำให้สารเซโรโทนินในร่างกายเพิ่มสูงขึ้น อย่างยาต้านเศร้าชนิดอื่น หรือยาแก้ปวดบางชนิด อาจทำให้เกิดภาวะเซโรโทนินซินโดรมได้ แต่ก็พบได้น้อย โดยภาวะนี้อาจทำให้มีอาการ เช่น วิตกกังวล กระสับกระส่าย สับสน สั่น มีเหงื่อออก อยู่ไม่สุข หัวใจเต้นเร็ว ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานไม่ประสานกัน เป็นต้น ซึ่งหากผู้ป่วยมีอาการดังกล่าวควรรีบไปพบแพทย์ทันที
  • ผู้ที่เป็นโรคเบาหวานอาจมีระดับน้ำตาลในเลือดเปลี่ยนแปลงเมื่อรับประทานยากลุ่ม Tricyclics Antidepressants จึงอาจต้องเข้ารับการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ
  • หากรับประทานยากลุ่มนี้ร่วมกับยาบางชนิด อย่างไซเมทิดีน อาจเสี่ยงได้รับผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้
  • ห้ามหยุดรับประทานยาหากไม่ได้แจ้งให้แพทย์ทราบ

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Tricyclics Antidepressants

ยากลุ่ม Tricyclics Antidepressants แต่ละชนิดอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่แตกต่างกัน โดยขึ้นอยู่กับปริมาณยาที่รับประทานหรือการออกฤทธิ์ของยานั้น ๆ ซึ่งผลข้างเคียงบางอย่างอาจหายไปหลังจากใช้ยาในช่วงเวลาหนึ่ง แต่อาการบางอย่างก็อาจทำให้ผู้ป่วยต้องเปลี่ยนไปรับประทานยาชนิดอื่นแทน ทั้งนี้ หากผลข้างเคียงมีความรุนแรงขึ้นหรือไม่มีทีท่าว่าจะดีขึ้น ผู้ป่วยก็ควรไปพบแพทย์

โดยผลข้างเคียงที่พบได้บ่อยจากการใช้ยากลุ่ม Tricyclics Antidepressants มีดังนี้

  • ง่วงซึม สับสน มึนงง เวียนศีรษะ
  • หน้ามืด มองเห็นไม่ชัด
  • ปัสสาวะไม่ออก ท้องผูก
  • ปากแห้ง
  • มีเหงื่อออกมาก
  • มีอาการสั่นตามร่างกาย
  • น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลง
  • หย่อนสมรรถภาพทางเพศ

โดยทั่วไป หากรับประทานยาในปริมาณที่แพทย์แนะนำ ผู้ป่วยมักไม่ได้รับอันตรายใด ๆ จากการใช้ยา อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรใช้ยาอย่างระมัดระวัง และเฝ้าสังเกตอาการผิดปกติที่เกิดขึ้นกับตนเองเสมอ เพราะในบางครั้งยากลุ่ม Tricyclics Antidepressants อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงบางอย่างที่เป็นอันตรายได้ เช่น

  • หากเป็นโรคต้อหินมุมปิดอาจมีอาการของโรคต้อหินมุมปิดแบบฉับพลัน
  • ผู้ที่เคยมีอาการชักอาจเสี่ยงเกิดอาการชักเพิ่มมากขึ้น
  • อาจมีอารมณ์ดีผิดปกติ ซึ่งเป็นอาการที่เกิดกับผู้ป่วยที่ไม่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคไบโพลาร์
  • อาจมีพฤติกรรมหรือความคิดที่เสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย โดยเฉพาะเด็กและผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี โดยอาการนี้มักเกิดขึ้นหลังจากเริ่มรับประทานยาใน 2-3 สัปดาห์แรก
  • อาจเสี่ยงเผชิญปัญหาสุขภาพ อย่างเซโรโทนินซินโดรม ภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะ ภาวะหัวใจวาย โรคหลอดเลือดในสมอง ปัญหาเกี่ยวกับระบบไหลเวียนเลือด หัวใจ และหลอดเลือด โดยเฉพาะผู้ที่เคยเป็นโรคหัวใจมาก่อน

ทั้งนี้ หากผู้ป่วยมีอาการดังข้างต้น หรือสงสัยว่าตนเองอาจได้รับผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย ให้รีบไปพบแพทย์ทันที