มะขาม กับประโยชน์ต่อสุขภาพ

มะขาม เป็นผลไม้ยอดนิยมชนิดหนึ่งที่อุดมไปด้วยสารประกอบที่เชื่อกันว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย จึงมีความพยายามค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ เพื่อพิสูจน์สมมติฐานเกี่ยวกับประโยชน์ของมะขามต่อสุขภาพร่างกายในด้านต่าง ๆ

มะขาม

มะขามเป็นไม้ยืนต้นที่ออกดอกและผลเป็นฝัก นิยมรับประทานตามฤดูกาล โดยรับประทานฝักมะขามหรือยอดใบอ่อนที่นำมาประกอบอาหาร เป็นต้น

ส่วนประกอบในมะขาม มีสารเคมีที่อาจเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ จึงมีความเชื่อมากมายเกี่ยวกับประโยชน์จากการบริโภคมะขาม เช่น

  • อาจช่วยรักษาอาการตาแห้งและเพิ่มความชุ่มชื้นในพื้นผิวกระจกตาได้
  • มะขามอาจช่วยส่งผลคล้ายยาระบายที่อาจช่วยในระบบขับถ่าย
  • อาจมีผลช่วยต้านเชื้อราและแบคทีเรียในร่างกาย
  • มะขามอาจใช้รักษาอาการป่วยไข้หรือหวัดได้ด้วย
  • การบริโภคมะขามเพื่อช่วยลดอาการคลื่นไส้ในผู้หญิงที่ตั้งครรภ์  
  • มะขามอาจรักษาพยาธิลำไส้ในเด็ก

แต่ทั้งหมดนี้ ยังคงไม่มีหลักฐานทางการแพทย์และวิทยาศาสตร์ที่เพียงพอจะยืนยันการใช้งานในทางการแพทย์ แม้มะขามจะเป็นพืชและผลไม้ที่น่าจะมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่ในทางวิทยศาสตร์และการแพทย์นั้นมีข้อมูลการค้นคว้าที่ชัดเจนน้อยมากในการยืนยันประสิทธิผลของมะขามต่อการบำรุงหรือรักษาสุขภาพ มีเพียงการศึกษาในบางด้านที่สำคัญเกี่ยวกับมะขาม ดังนี้

อาการตาแห้ง

ตาแห้ง เป็นภาวะที่เกิดขึ้นเมื่อน้ำตาไม่เพียงพอต่อการหล่อลื่นดวงตา อาจเกิดขึ้นจากน้ำตาถูกผลิตออกมาไม่มากเพียงพอ หรือต่อมน้ำตาผลิตน้ำตาที่ไม่มีคุณภาพออกมา

เนื่องจากในมะขามมีสารเคมีที่คล้ายกับมิวซิน (Mucin) ซึ่งเป็นสารประกอบในเยื่อเมือกที่พบในดวงตา จึงเชื่อว่ามะขามอาจช่วยรักษาอาการตาแห้งและเพิ่มความชุ่มชื้นบริเวณกระจกตาได้ จึงมีงานค้นคว้าหนึ่งที่นำสารสกัดจากเมล็ดมะขามมาเป็นส่วนผสมในยาหยอดตา แล้วทดลองในผู้ป่วยโรคตาแห้งที่มีความรุนแรงระดับปานกลาง (Moderate Keratoconjunctivitis Sicca) จำนวน 28 ราย เป็นเวลา 3 เดือน หลังการทดลองพบว่า ผู้ป่วยมีอาการและสัญญาณสุขภาพตาที่ดีขึ้นหลังหยอดตาด้วยยาหยอดตาที่มีส่วนประกอบของสารสกัดจากเมล็ดมะขาม แต่ไม่มีนัยสำคัญ

อย่างไรก็ตาม งานวิจัยนี้เป็นเพียงงานทดลองขนาดเล็กในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ จึงควรมีการศึกษาค้นคว้าเพิ่มเติมในกลุ่มทดลองที่มีขนาดใหญ่ขึ้น และควรศึกษาทั้งประสิทธิผลและผลข้างเคียงของมะขามต่อการรักษาบำรุงดวงตาอย่างครอบคลุมถี่ถ้วนมากยิ่งขึ้น

ผลกระทบต่อสภาพผิว

มะขามอาจมีสารเคมีที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ และหลายคนอาจมีความเชื่อว่ามะขามจะช่วยบำรุงผิวพรรณได้ด้วยการนำไปขัดผิด แต่ในสารสกัดจากเนื้อมะขามมีสาร AHA (Alpha-Hydroxyl Acids) ซึ่งอาจมีผลทำให้ผิวลอก หรือเกิดอาการแพ้บริเวณผิวหนังได้ จึงมีงานค้นคว้าหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบในด้านนี้

การทดลองดำเนินไปโดยให้กลุ่มตัวอย่างเพศหญิงผู้ที่มีสุขภาพดีจำนวน 15 ราย ทาผลิตภัณฑ์สารสกัดจากเนื้อมะขามที่มีส่วนประกอบของกรดทาร์ทาริก (Tartaric) 2% นาน 30 นาที ทุกวัน เป็นเวลา 5 วัน หลังการทดลองพบว่า ผู้รับการทดลองไม่มีสัญญาณหรืออาการแพ้ที่มีนัยสำคัญปรากฏขึ้นแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม การทดลองนี้แสดงผลลัพธ์ด้านความปลอดภัยในการใช้ครีมที่มีส่วนประกอบของสารสกัดจากเนื้อมะขามในเบื้องต้นเท่านั้น สำหรับความปลอดภัยและผลกระทบในระยะยาวจากการใช้มะขามนั้น ยังคงต้องมีการศึกษาค้นคว้าเพื่อขยายไปสู่ผลลัพธ์ที่ชัดเจนและเชื่อถือได้กันต่อไป

กระดูกและฟัน

ด้วยส่วนประกอบและสารเคมีในมะขามที่อาจเป็นประโยชน์ต่อระบบต่าง ๆ ของร่างกาย จึงได้มีการทดลองเกี่ยวกับประสิทธิผลของมะขามต่อการเสริมสร้างความแข็งแรงของกระดูก จากการศึกษาพบว่าหากได้รับฟลูออไรด์ในปริมาณที่สูงมากผิดปกติ อาจส่งผลให้กระดูกเปราะบาง และแตกหักได้ง่ายขึ้น

โดยการทดลองดังกล่าวได้มีเด็กวัยรุ่นชายร่วมทดลองจำนวน 30 คน แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ๆ ละ 15 คน โดยทั้งสองกลุ่มจะได้ดื่มน้ำที่มีฟลูออไรด์ต่ำ ในขณะที่กลุ่มทดลองจะได้บริโภคมะขามไปด้วยเป็นเวลา 3 สัปดาห์ ผลการทดลอง คือ กลุ่มทดลองที่บริโภคมะขามมีการขับฟลูออไรด์ออกมาทางปัสสาวะมากกว่ากลุ่มควบคุมอย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่มีการขับแคลเซียมและทองแดงลดลง

กล่าวคือ การบริโภคมะขามอาจเป็นประโยชน์ต่อร่างกายในแง่ของการช่วยขจัดสารฟลูออไรด์ออกจากกระดูกด้วยการขับสารนี้ออกมาทางปัสสาวะ

แม้จะมีผลการทดลองที่แสดงประสิทธิผลของมะขามที่เกี่ยวข้องกับกระดูก แต่งานทดลองดังกล่าวก็แสดงผลเพียงบางด้าน และเป็นการทดลองขนาดเล็กในระยะเวลาไม่นาน ดังนั้น การศึกษาในด้านประสิทธิผลของมะขามต่อสุขภาพของกระดูกจึงควรมีต่อไป และขยายขอบเขตการค้นคว้าให้ละเอียดรอบด้านขึ้น เพื่อให้สามารถนำผลลัพธ์ที่ได้มาประยุกต์ใช้ได้จริงในเชิงการแพทย์และสุขภาพในอนาคต

นอกจากนี้ ยังมีการศึกษาถึงประสิทธิผลของการบริโภคมะขามต่อภาวะฟันเปลี่ยนสีหรือฟันตกกระ (Fluorosis) ซึ่งเกิดจากการสะสมของสารฟลูออไรด์ที่มากเกินไปบริเวณผิวฟัน จนทำให้ฟันเปลี่ยนสีจากสีเหลืองนวลเป็นสีน้ำตาล หรือเป็นจุดด่างที่ชัดเจนขึ้น

มีงานค้นคว้าหนึ่งที่นำมะขามมาทดสอบประสิทธิภาพต่อการบำรุงสุขภาพฟัน ด้วยการให้เด็กผู้ชายสุขภาพดี 18 ราย บริโภคมะขาม 10 กรัมพร้อมอาหารมื้อเที่ยงทุกวันเป็นเวลา 18 วัน หลังจากนั้น พบว่าผู้ทดลองที่บริโภคมะขามมีการขับสารฟลูออไรด์ออกมาทางปัสสาวะเพิ่มมากขึ้นเมื่อเทียบกับกลุ่มควบคุม ดังนั้น งานทดลองนี้จึงชี้ให้เห็นว่า การบริโภคมะขามอาจช่วยชะลอการเกิดภาวะฟันเปลี่ยนสีหรือตกกระได้ด้วยการกระตุ้นให้ร่างกายขับฟลูออไรด์ออกมาทางปัสสาวะมากขึ้น

เช่นเดียวกันกับงานค้นคว้าอื่น ๆ แม้จะมีผลการทดลองในเชิงบวก แต่การทดลองนี้มีขนาดเล็กและอาจมีปัจจัยต่าง ๆ ที่ยังไม่อาจสรุปผลได้อย่างชัดเจนว่ามะขามดีต่อสุขภาพฟันจริง การศึกษาค้นคว้าทั้งประสิทธิผลและผลข้างเคียงของมะขามจึงเป็นสิ่งจำเป็นที่ควรดำเนินต่อไป เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่เกิดประโยชน์สูงสุดต่อผู้บริโภคในอนาคต

มะขามมีประโยชน์ต่อสุขภาพจริงหรือไม่ ?

แม้จะมีบางงานวิจัยชี้ว่าการบริโภคมะขามอาจเกิดประโยชน์ต่อสุขภาพในบางด้าน แต่ในทางวิทยาศาสตร์และการแพทย์ยังคงไม่มีหลักฐานที่สามารถพิสูจน์คุณประโยชน์ของมะขามได้อย่างชัดเจน ดังนั้น จึงควรมีการศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับมะขาม คุณประโยชน์ และผลข้างเคียงจากการบริโภคให้แน่ชัดต่อไปในอนาคต โดยผู้บริโภคควรศึกษาข้อมูลให้ถี่ถ้วนก่อน ระมัดระวังในการบริโภคมะขามอย่างเหมาะสม ทั้งในด้านปริมาณการบริโภค และการนำไปประยุกต์ใช้ในด้านต่าง ๆ

ปริมาณในการบริโภคมะขาม

ปริมาณที่เหมาะสมในการบริโภคมะขามขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย เช่น อายุ สุขภาพ ภาวะหรืออาการป่วยต่าง ๆ ซึ่งในปัจจุบันยังคงไม่มีข้อมูลที่แน่ชัดพอจะระบุปริมาณที่เหมาะสมชัดเจนในการบริโภคมะขามได้ ไม่ว่าจะในรูปแบบอาหาร หรือสารสกัดจากมะขาม ดังนั้น ผู้บริโภคควรรับประทานมะขามในปริมาณที่พอดี และหากบริโภคมะขามในรูปแบบยา สารสกัดจากมะขาม หรือสารที่มีส่วนประกอบของมะขามเพื่อหวังผลทางการรักษา ควรปฏิบัติตามคำแนะนำในผลิตภัณฑ์นั้น ๆ อย่างเคร่งครัด และปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนการบริโภคเสมอ

ความปลอดภัยในการบริโภคมะขาม

ผู้บริโภคทั่วไป

  • โดยทั่วไป การรับประทานมะขามในปริมาณที่เหมาะสมไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย
  • ในปัจจุบัน ยังไม่มีข้อพิสูจน์อย่างชัดเจนทางการแพทย์ที่ยืนยันถึงคุณประโยชน์หรือความปลอดภัยในการบริโภคมะขามเพื่อจุดประสงค์ทางการรักษาอาการป่วยหรือการบำรุงสุขภาพด้านใดด้านหนึ่ง ดังนั้น ควรบริโภคมะขามในปริมาณที่พอดี ไม่ควรบริโภคมะขามหรือสารสกัดจากมะขามเพื่อหวังผลทางการรักษาด้วยตนเอง และควรปรึกษาแพทย์เสมอหากมีข้อสงสัย

ผู้ที่ควรระมัดระวังเป็นพิเศษ

  • ผู้ที่ตั้งครรภ์และกำลังให้นมบุตร ในขณะนี้ยังคงไม่มีข้อมูลเพียงพอและเชื่อถือได้เกี่ยวกับการบริโภคมะขามในขณะตั้งครรภ์หรือกำลังให้นมบุตร ดังนั้น ผู้บริโภคจึงควรระมัดระวังและบริโภคมะขามในปริมาณที่พอดีในรูปแบบอาหาร และหลีกเลี่ยงการรับประทานมะขามมากเกินไป เพื่อป้องกันการเกิดผลข้างเคียงที่อาจเป็นอันตรายต่อตนเองและทารกได้
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน เชื่อกันว่าการบริโภคมะขามอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงได้ ดังนั้น ผู้ป่วยโรคเบาหวาน จึงควรระมัดระวังในการบริโภคมะขาม หมั่นตรวจเช็คและควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดอยู่เสมอ หรืออาจต้องปรับการใช้ยารักษาเบาหวานภายใต้การดูแลของแพทย์
  • ผู้ป่วยผ่าตัด เนื่องมาจากการบริโภคมะขามอาจทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลงได้ ดังนั้น ผู้ป่วยที่ต้องเข้ารับการผ่าตัดควรงดการบริโภคมะขาม 2 สัปดาห์ก่อนวันผ่าตัด เพื่อควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้เป็นปกติทั้งในระหว่างการผ่าตัดและในช่วงพักฟื้นตัวหลังการผ่าตัด