ถามแพทย์

  • มีไข้สูง ปวดศรีษะ อาเจียน นอนรพ. ผลเลือดสุดท้าย เป็นโรคไทฟอยด์ คืออะไร ทำอย่างไรไม่ให้เป็นซ้ำ

  •  Maybe May
    สมาชิก
    ก่อนหน้านี้2สัปดาห์แอดมินรพ.ด้วยอาการไข้สูง อาเจียน ปวดศรีษะ ไอ คออักเสบ คอแดง.ได้รับการเจาะเลืออดและตรวจปัสสาวะ มีเม้ดเลือดขาวและแดงปนในปัสสาวะ แพทย์แจ้งว่าติดเชื้อทางกระแสเลือดขอให้นอนโรงพยาบาล เช้าอีกวันแพทย์แจ้งว่าไม่ใช่ติดเชื้อและไข้เลือดออกจึงขอเจาะเลือดเพื่อเพาะเชื้ออีกครั้งพร้อมให้ยาฆ่าเชื้อทางเส้นเลือด4วันอาการไม่ดีขึ้นเป็นไข้ตลอดช่วงตี3และช่วง3โมงเย็นทานพาราไข้ลดค่ะ วันที่5 แพทย์แจ้งติดเชื้อจากป่าจากดิน เป็นไข้กลุ่มมาลาเลีย รับยาใหม่3วัน อาการดีขึ้นไข้ลดลงให้กลับบ้านแต่ตอนนี้ยังมีอาการปวดหัวและเพลียไม่มีแรง วันนี้ได้ไปพบแพทย์ตามนัดเปลี่ยนคุณหมอท่านใหม่ คุณหมอและพยาบาลหน้าเค้าเตอร์แจ้งว่านี่โรคไทฟอยนะไม่ใช่มาลาเลีย เม้ดเลือดขาวลดลงแล้วแต่มี1ตัวที่ผิดปกตินัดตรวจอีกครั้งพร้อมขอเลือดส่งกล้องจุรทรรศ์กลัวเม็ดเลือดผิดปกติ อยากทราบว่าตกลงเป็นไรคอะไรแน่คะ อยากได้คำแนะนำไม่ให้เป็นโรคนี่ซ้ำอีกค่ะ

     สวัสดีคะคุณ Maybe May

    เรียนอย่างนี้ค่ะ การที่มีการติดเชื้อเข้ากระแสเลือด ไข้สูง ปรกติแล้วแพทย์จะพยายามจับเชื้อให้ได้ก่อนคะ ด้วยการซักประวัติว่ามีไข้ หรือ มีอาการไอ เจ็บคอ ปัสสาวะแสบขัด มีเรื่องเข้าป่าลุยน้ำ มีเรื่องถูกยุงกัด การเดินทางเข้าไปในป่าหรือ ที่ที่ไม่เคยไปมาก่อนหรือ ไม่มีการข้ามไปในเขตใกล้ชายแดนหรือไม่  มีประวัติการรับปรทานอาหารที่ไม่สุกสะอาด หรือ ดื่มน้ำจากลำธารในป่าหรือไม่ มีเรื่องของอาการอื่น ๆเช่น หลังแข็ง หรือ มีอาการชักร่วมด้วยหรือไม่ค่ะ

    ซึ่งการค้นหาทำได้ด้วยการตรวจร่างกาย การเจาะเลือด การตรวจปัสสาวะอุจจาระค่ะ ถ้ามีความจำเป็นอาจจะต้องทำการเอกซเรย์ 

    การใช้ยาฆ่าเชื้อจะให้ครอบคลุมเชื้อไปก่อนก่อนที่จะจับเชื้อได้ค่ะ การเพาะเชื้อในกระแสเลือดก็มีความสำคัญค่ะ

    มาดูเรื่องของไทฟอยค่ะ ไทฟอย เป็นการติดเชื้อจากเชื้อ salmonella typhi ซึ่งเชื้อจะอยู่ในอุจจาระ เกิดจากการกินไก่ที่มีเชื่ออยู่คนไข้จะมาด้วยอาการไข้สูง ปวดตามตัว มีเรื่องของท้องร่วงการเสียน้ำอย่างรุนแรง 

    ส่วนไข้มาลาเรียต้องมีประวัติเรื่องการเดินทางไปตามตะเข็บขายแดน และมีเรื่องไข้ ต้วเหลืองตาเหลืองตรวจเดือนด้วยการหาเชื้อมาลาเรียในเลือดค่ะ

    ดังนั้นในช่วงแรกอาจจะไม่ทราบว่าเป็นอะไรค่ะ

    แต่เมื่อรักษาไปแล้วตอบสนองจะมารอดูผลเลือดปัสสาวะอุจจาระอีกครั้งอาจจะได้ข้อสรุปที่ไม่เหมือนครั้งแรกที่เจอคนไข้ก็ได้ค่ะ