ถามแพทย์

  • อายุ 33 ปี ชาขาทั้ง 2 ข้าง ตั้งแต่ใต้เข่า เป็นมาข้ามคืน ไม่มีอ่อนแรง สุ่มเจาะน้ำตาลได้ 190 และเจาะตอนเช้าได้ 96 อาการชาเกิดจากอะไร

  •  lifestyleBB
    สมาชิก
    มีอาการขาชาทั้ง2ข้างตั้งแต่ใต้เข่ายาวจนถึงตาตุ่มฝั่งเข้าหาลำตัว ชาแบบตลอดเวลา ลูบๆหรือสัมผัสรู้สึกได้เลยว่ามันชาเป็นปื้นๆ แตกต่างจากบริเวณที่ไม่ชาอย่างเห็นได้ชัด เป็นมาข้ามคืนแล้วค่ะ แต่ไม่มีอาการอ่อนแรงนะคะ อายุ33น้ำหนัก42สูง163ค่ะ เมื่อ2วันก่อนสุ่มเจาะน้ำตาลปลายนิ้วหลังทานอาหาร1ชั่วโมงได้ 190 และเจาะตอนเช้าได้ 96ค่ะ ปกติควบคุมการทานอาหารอยู่ค่ะ และออกกำลังกายเดินเร็ว1ชม.อาทิตละ4-5วัน ทานมังสาวิรัตอาทิตย์ละ2-3วัน ไม่ได้ทานขนม เบเกอร์ หรือน้ำหวานชากาแฟเลย ไม่มีมีโรคประจำตัวนะคะ *อยากทราบว่าอาการชานี้เกิดจากอะไรได้บ้าง สารอาหารไม่เพียงพอรึเปล่าคะ ขอบคุณค่ะ

    สวัสดีค่ะ คุณ lifestyleBB,

                       ระดับน้ำตาลหลังการทานอาหาร โดยปกติ ไม่ควรเกิน 140 mg/dL ดังนั้น หากตรวจได้ค่า 190 ก็ถือว่าค่อนข้างสูง ส่วนการตรวจระดับน้ำตาลในตอนเช้า ซึ่งตรวจหลังจากที่อดอาหารมาไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมงนั้น ควรน้อยกว่า 100 mg/dL ดังนั้น หากตรวจได้ค่า 96 ก็ถือว่ายังปกติ แต่ค่อนไปทางสูง ดังนั้น แนะนำว่าควรตรวจระดับน้ำตาลในตอนเช้าหลังอดอาหารซ้ำดูอีก 2-3 ครั้ง หรือตรวจดูค่าระดับน้ำตาลสะสม  (ค่า HbA1c) ซึ่งก็จะช่วยบอกแนวโน้มได้ โดยค่าปกติ ควรต่ำกว่า 5.7 mg% 

                        ทั้งนี้ แม้จะควบคุมอาหารและออกกำลังกายเป็นประจำ ก็ยังอาจมีความเสี่ยงเป็นเบาหวานได้ หากมีประวัติพันธุกรรมเป็นเบาหวานค่ะ

                       ส่วนอาการชาขาทั้ง 2 ข้าง หากเป็นอาการชา ที่ทำให้การรับรู้สัมผัสลดลงกว่าปกติ ก็อาจเกิดจากสาเหตุ แบ่งออกเป็น

                       1. อาการชาที่เกิดจากระบบเส้นประสาทส่วนปลาย เช่น

                          - ภาวะรากประสาทถูกกดทับ จากหมอนรองกระดูกเคลื่อน

                           - ภาวะการกดทับของเส้นประสาทในขา โดยอาจเกิดจากกการนั่งหรือทำท่าเดิมนานๆ ทำท่าทางซ้ำๆ หรือมากเกินไป เช่น การนั่งไขว้ขา นั่งแบะขา เป็นต้น 

                          - การบาดเจ็บที่เส้นประสาทโดยตรง เช่น ได้รับอุบัติเหตุ โดยมักจะมีอาการชา และอาการอ่อนแรงร่วมด้วย

                          - ภาวะเส้นประสาทส่วนปลายอักเสบ จากโรคต่างๆ เช่น จากโรคเบาหวานหรือภาวะน้ำตาลในเลือดสูง การติดเชื้อบางชนิด เช่น เชื้อไวรัสงูสวัด ซิฟิลิส HIV ภาวะไทรอยด์เป็นพิษ โรคไตเสื่อมเรื้อรังหรือโรคตับ การขาดวิตามินบี การได้รับยาหรือสารบางอย่าง ที่ทำให้เส้นประสาทอักเสบ โรคภูมิแพ้ตนเอง

                       2. อาการชาที่เกิดจากโรคของหลอดเลือดส่วนปลาย เช่น

                         - เกิดการอุดตันของหลอดเลือดแดง ทำให้การไหลเวียนเลือดแดงเพื่อนำเลือดดีมาเลี้ยงกล้ามเนื้อและเส้นประสาทส่วนปลายลดลง นอกจากอาการชาแล้ว ยังมีอาการซีดลงเนื่องจากการไหลเวียนของเลือดแดงลดลง อุณหภูมิลดลง และมีปวด 

                          - การอุดตันของหลอดเลือดดำ ทำให้การนำกลับของเลือดและของเสียลำเลียงออกไม่ได้ มีความดันในขาสูงขึ้น และรบกวนการนำเข้าของเลือดแดงมาเลี้ยง ซึ่งส่งผลต่อเลือดที่มาเลี้ยงเส้นประสาทในที่สุด โดยมักมีอาการขา บวม สีคล้ำ ชา ปวด อ่อนแรงได้ 

                       3. โรคข้ออักเสบ อาการอักเสบของข้อ ส่งผลต่อเส้นประสาทบริเวณใกล้เคียงกับข้อ ทำให้มีอาการชาร่วมด้วยได้

                       4. โรคกล้ามเนื้อ เช่น โรคออฟฟิศซินโดรม เนื่องจากการหดเกร็งของกล้ามเนื้อต่อเนื่อง ส่งผลกระทบต่อเส้นประสาทหรือการไหลเวียนเลือดไปยังเส้นประสาท อาจพบอาการชาร่วมกับอาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณดังกล่าว

                         หากอาการเพิ่งเป็นมาไม่กี่วัน อาจสังเกตอาการไปก่อน ในเบื้องต้น ก็ไม่ควรนั่งหรืออยู่ในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ ควรนั่งให้ถูกวิธี โดยนั่งบนเก้าอี้ ห้อยขาลง ไม่นั่งทับขา ไมนั่งไขว้ขวา ไม่นั่งแบะขา ใช้การประคบร้อนบริเวณที่ชาบ่อยๆ เป็นต้น แต่หากอาการไม่ดีขึ้น ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาค่ะ