ถามแพทย์

  • อายุ 28 ปี มีห้อเลือดที่ฝ่าเท้า 2 จุดสีแดงสด ไม่เจ็บ ไม่คัน มี 1 จุดกำลังใกล้หาย อันตรายไหม

  •  vandana
    สมาชิก
    ขออนุญาตสอบถามค่ะมีห้อเลือดที่ฝ่าเท้าสองจุดขนาดประมาณ1 Cm สีแดงสด ไม่เจ็บไม่คัน ลูบๆเป็นรอยบุ๋มตามขนาดของเลือดที่เป็น อีกจุดคือกำลังใกล้หายมีขนาดประมาณ0.5ซม แฟนพึ่งสังเกตุเห็นเมื่อคืนว่าเป็นห้อเลือดค่ะ ก็เลยไม่ได้สังเกตุว่ามี แบบนี้จะเป็นอันตรายมั้ยคะ ไม่เคยได้รับการกระแทก หรืออะไรล้มใส่หรืออุบัตเหตุต่างๆ คือเกิดขึ้นเองค่ะ ขณะนี้มีประจำเดือนมาด้วยค่ะ แต่มีอาการปวดส้นเท้ามานานเป็นเดือนร่วมด้วย ส่วนสูง 156 นน 62 อายุ 28ปี เพศหญิงค่ะ ไม่มีประวัตแพ้ยา หรืออาหาร ช่วงนี้ไม่ได้ใช้ยาอะไร

    สวัสดีค่ะ คุณ vandana,

                        คำว่าห้อเลือดนั้น ปกติจะหมายถึงการมีเลือดคั่งใต้เล็บ (Subungual hematoma) ค่ะ โดยจะทำให้เล็บมีสีแดงออกม่วง แล้วจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลหรือสีดำค่ะ

                        ดังนั้น การที่จุดสีแดงที่ฝ่าเท้า จึงไม่ได้เรียกห้อเลือด แต่อาจเป็น 

                        - แผลฟกช้ำ ถือเป็นแผลชนิดที่ไม่การฉีดขาดหรือแยกตัวของผิวหนัง แต่เกิดการฉีกขาดของหลอดเลือดเล็กๆ ในชั้นเนื้อเยื่อไขมันใต้ผิวหนัง หรือในชั้นกล้ามเนื้อ ทำให้เกิดมีเลือดออกในชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนังหรือกล้ามเนื้อ และปรากฏเป็นสีแดงขึ้นในช่วงแรก ซึ่งต่อมา สีแดงจะหลายเป็นสีม่วงน้ำเงิน หลังจากนั้น จะกลายเป็นสีม่วงเข้มดำไปนาน 1-5 วัน แล้วจะค่อยๆ กลายเป็นสีเขียวและเป็นสีเหลืองหรือน้ำตาล แล้วจะหายไปภายใน 1-2 สัปดาห์

                       - จุดเลือดออกใต้ผิวหนัง (petechiae) อาจเกิดได้จากภาวะเกล็ดเลือดต่ำ เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติ หรือหลอดเลือดขนาดเล็กอักเสบก็ได้ โดยจะเห็นเป็นจุดสีแดงเข้มขนาด 1-2 มิลลิเมตรใต้ผิวหนัง เมื่อลองกดแล้วสีจะไม่จางลง ไม่มีอาการเจ็บและไม่คัน 

                       - ก้อนเนื้องอกหลอดเลือดที่ผิวหนัง ซึ่งทำให้เกิดเป็นจุดนูนสีแดงได้ 

                       - เป็นผื่นชนิดต่างๆ เช่น ผื่นแพ้ ผื่นจากแมลงสัตว์กัดต่อย เป็นต้น มักมีอาการคัน หรือเจ็บ แสบร่วม

                        ดังนั้น หากจุดสีแดงที่เกิดขึ้น มีสีแดงคงที่ คือไม่ได้มีการเปลี่ยนสีไปตามเวลา ก็ไม่ใช่แผลฟกช้ำ แต่อาจเป็นจุดเลือดออก (petechiae) หรือเนื้องอกหลอดเลือดก็ได้ แต่หากจุดหายไปได้เอง ก็ไม่ใช่เนื้องอก แต่น่าจะเป็นจุดเลือดออกมากกว่าค่ะ ซึ่งหากมีแค่ 2 จุด ก็ไม่ได้ถือว่าผิดปกติหรืออันตรายอะไรค่ะ แนะนำควรสังเกตผิวหนังบริเวณอื่นๆ ว่ามีหรือไม่ หากพบที่บริเวณอื่นๆ อีก และพบหลายจุด ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุค่ะ 

                         ส่วนอาการปวดส้นเท้า อาจเกิดจากโรคพังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบ (หรือโรครองช้ำ) ซึ่งอาการคือ จะปวดบริเวณส้นเท้าหรืออาจลามไปทั้งฝ่าเท้า อาการจะปวดมากที่สุดเมื่อลุกเดินก้าวแรกหลังจากตื่นนอนหรือจากนั่งพักเป็นเวลานาน สาเหตุของโรคอาจเกิดได้จาก

                       1. การรับน้ำหนักเป็นเวลานาน ทำให้เอ็นฝ่าเท้าต้องรับน้ำหนักมาก พบในผู้ที่ต้องยืนต่อเนื่องเป็นเวลานาน

                       2. มีน้ำหนักตัวมาก

                        3. การออกกำลังกายบางอย่างที่มีการกระแทกส้นเท้ามากไป เช่น การวิ่งระยะทางไกล หรือวิ่งบนพื้นที่ขรุขระมากไป การเต้นแอโรบิค การเต้นบัลเล่ย์ เป็นต้น

                        4. สวมใส่รองเท้าที่ไม่เหมาะสม เช่น รองเท้าที่ไม่มีพื้นบุรองส้นเท้า

                        5.เอ็นร้อยหวายยึด หรือเอ็นบริเวณน่องยึด ทำให้ส้นเท้าและข้อเท้าไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติ

                        6. ปัจจัยทางโครงสร้างร่างกาย เช่น อุ้งเท้าแบนไป อุ้งเท้าโก่งมากไป

                        7. โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ เส้นเอ็นที่เชื่อมกับข้อต่อกระดูกอาจเกิดการอักเสบ และทำให้พังผืดใต้ฝ่าเท้าอักเสบได้

                        ในเบื้องต้นพยายามลดปัจจัยเสี่ยงที่หลีกเลี่ยงได้ไปก่อน เช่น หากมีน้ำหนักตัวมาก ก็พยายามลดน้ำหนักตัวลง งดการใส่ส้นสูง ใส่รองเท้าให้มีขนาดที่พอดี และมีพื้นบุตรงส้นเท้าที่ยืดหยุ่นไม่แข็งเกิน ควรหมั่นแช่เท้าในน้ำอุ่นและบีบนวดเท้า งดการออกกำลังกายที่ต้องใช้เท้ากระแทกพิ้น เช่น การวิ่งหรือเต้น เป็นต้น ในช่วงที่ปวดมาก อาจทานแก้ปวดกลุ่มที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ (NSAIDs) เช่น ไดโคลฟีแนค (diclofenac), นาโปรเซน (naproxen) เพื่อบรรเทาอาการ หากยังไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจค่ะ