ถามแพทย์

  • อายุ 21 ปี วันที่ 30 ก.ย. มีถ่ายแล้วมีเลือดปน แล้วหายไป วันที่ 12 ต.ค.มีถ่ายปนเลือดอีก ควรทำอย่างไร

  •  Kittisak Kunwatthanayothin
    สมาชิก

    สวัสดีครับผมอายุ21ปี วันที่30กันยาที่ผ่านมามีอาการ ถ่ายแล้วมีเลือดปนสดเท่าที่สังเกตุตัวอุจาระมีสีปกติหลังจากนั้นก็หายมาจนถึงวันที่12สิงหามีอาการถ่ายปนเลือดอีกควรทำอย่างไรบ้างครับ เป็นคนไม่ชอบทานผักด้วยครับ น้ำหนัก 102 

    สวัสดีค่ะ คุณ Kittisak Kunwatthanayothin,

                     อาการถ่ายอุจจาระแล้วมีเลือดปน สาเหตุที่พบบ่อย คือ

                 1. ริดสีดวงทวารชนิดภายใน เกิดจากการโป่งพองของหลอดเลือดดำที่ทวารหนัก อาการคือจะเป็นเลือดสีแดงสดหยดออกมาพร้อมกับอุจจาระหรือหลังถ่ายอุจจาระ บางรายเลือดอาจมีปริมาณมากได้ แต่จะไม่มีอาการเจ็บหรือปวดบริเวณรูทวาร  ซึ่งสาเหตุ ได้แก่ การมีท้องผูกเป็นประจำ การชอบเบ่งถ่าย นั่งอุจจาระนาน ใช้ยาสวนบ่อย น้ำหนักตัวมาก เป็นต้น

                  2. แผลปริขอบทวารหนัก เกิดจากก้อนอุจจาระมีขนาดใหญ่ หรือแข็ง หรือออกแรงเบ่งมาก ก้อนอุจจาระอาจไปครูดกับเยื่อบุของทวารหนัก ทำให้เกิดเป็นแผลและมีเลือดออกได้ หรือเกิดจากการมีถ่ายอุจจาระเหลวเรื้อรัง ทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักมากกว่าปกติจนเกิดฉีกขาด หรือจากการร่วมเพศทางทวารหนัก หรือการใส่นิ้วหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในทวารหนัก ซึ่งเลือดที่ออกจะมีปริมาณไม่มาก แต่จะมีอาการปวดหรือเจ็บรูทวารหนักร่วมด้วย       

                   ส่วนสาเหตุอื่นๆ นั้นพบได้น้อย และมักมีอาการปวดท้องและอาการอื่นๆ ร่วม เช่น ลำไส้ใหญ่อักเสบเรื้อรัง ภาวะลำไส้ขาดเลือด มีเลือดออกจากกระเพาะอาหารที่มีแผลหรือเส้นเลือดโป่งพอง มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นต้น 

                   ดังนั้น หากมีเฉพาะอาการถ่ายเป็นเลือด ไม่มีปวดท้องเรื้อรัง ไม่มีอาการเจ็บหรือปวดรูทวาร ก็น่าจะเป็นริดสีดวงทวารได้ ในเบื้องต้น ก็พยายามอย่าให้ท้องผูก และอย่าให้อุจจาระแข็งโดยการดื่มน้ำเปล่ามากๆ เน้นทานผักและผลไม้สด ไม่เบ่งถ่ายอุจจาระ ไม่นั่งถ่ายอุจจาระนาน เป็นต้น หากยังคงถ่ายเป็นเลือดบ่อยๆ หรือมีเจ็บปวดรูทวาร หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมอีก ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจค่ะ  

                         สำหรับน้ำหนักตัว 102 กิโลกรัม ถือว่ามีโรคอ้วนมาก แนะนำควรพบแพทย์เฉพาะทางอายุรกรรม เพื่อลดน้ำหนักด้วยค่ะ รวมถึงจะได้ตรวจหากโรคที่อาจพบร่วมในโรคอ้วน เช่น เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง เป็นต้น