เด็กหลอดแก้ว (IVF: In Vitro Fertilization) เป็นวิธีการทางเลือกที่ใช้รักษาภาวะมีบุตรยากแบบปฏิสนธิภายนอกร่างกาย ด้วยการนำไข่ของฝ่ายหญิงและอสุจิของฝ่ายชายไปผสมในภาชนะในห้องปฏิบัติการ เมื่อเกิดการปฏิสนธิแล้ว แพทย์จึงนำตัวอ่อน (Embryo) ใส่กลับเข้าไปให้ฝังตัวภายในมดลูกของฝ่ายหญิงจนเกิดการตั้งครรภ์
เด็กหลอดแก้ว ใช้ในกรณีใด ?
- ผู้หญิงที่ประสบปัญหาภาวะมีบุตรยากและไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ ที่พยายามมีลูกด้วยการมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันอย่างสม่ำเสมอเป็นเวลาอย่างน้อย 2 ปี หรือพยายามรักษาด้วยวิธีการอื่นซึ่งสะดวกกว่าหรือมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าแล้วไม่ได้ผล
- แพทย์จะแนะนำให้ทำเด็กหลอดแก้วในผู้หญิงอายุมากแล้วต้องการมีบุตร โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี
-
ผู้ที่ประสบปัญหาภาวะมีบุตรยากเนื่องจากฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชายมีปัญหาสุขภาพดังต่อไปนี้
- ท่อนำไข่ (ปีกมดลูก) เกิดความเสียหายหรืออุดตัน ทำให้ไข่ไม่ได้รับการผสมหรือตัวอ่อนไม่สามารถเคลื่อนที่ไปฝังตัวในมดลูกได้
- มีความผิดปกติเกี่ยวกับการตกไข่ เช่น การตกไข่จำนวนน้อย หรือไม่มีการตกไข่ในบางเดือน ซึ่งทำให้ไข่มีโอกาสได้รับการผสมน้อยลง
- ภาวะรังไข่เสื่อมก่อนวัย รังไข่ไม่สามารถทำหน้าที่ในการผลิตฮอร์โมนเอสโตรเจนให้เพียงพอต่อการตกไข่ตามปกติ ก่อนอายุ 40 ปี
- เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ คือ ภาวะที่มีเนื้อเยื่อเกิดขึ้นและเจริญเติบโตนอกมดลูก ซึ่งจะรบกวนการทำงานของระบบรังไข่ มดลูก และท่อนำไข่
- มีเนื้องอกมดลูกเกิดขึ้นที่ผนังมดลูก ซึ่งจะรบกวนกระบวนการฝังตัวของไข่ที่ผนังมดลูก มักพบในผู้หญิงช่วงอายุ 30-40 ปี
- เคยทำหมันด้วยการตัดหรือผูกท่อนำไข่มาก่อน หากเป็นการทำหมันที่ไม่สามารถแก้ไขได้ วิธีการเด็กหลอดแก้วจะเป็นทางเลือกที่ทำให้ผู้หญิงสามารถตั้งครรภ์ได้
- ฝ่ายชายผลิตอสุจิได้จำนวนน้อย อสุจิไม่มีประสิทธิภาพในการเคลื่อนที่ หรืออสุจิมีขนาดและรูปร่างผิดปกติ ซึ่งจะทำให้อสุจิเคลื่อนตัวเข้าไปปฏิสนธิกับไข่ได้ยากขึ้น
- ภาวะมีบุตรยากที่ไม่สามารถหาสาเหตุได้
- ความผิดปกติทางพันธุกรรม ทำให้อาจเกิดความผิดปกติของตัวอ่อนก่อนการฝังตัวที่มดลูก วิธีการเด็กหลอดแก้วจะช่วยคัดเลือกตัวอ่อนที่แข็งแรงและไม่มีความผิดปกติ ก่อนทำการฉีดกลับเข้าไปฝังตัวที่มดลูก เพื่อแก้ปัญหาไม่ให้ลูกที่เกิดมามีความผิดปกติทางพันธุกรรมไปด้วย
- อยู่ในระหว่างการเจ็บป่วยหรือการรักษาตัวที่ทำให้ไม่สามารถตั้งครรภ์ได้ เช่น ป่วยด้วยโรคมะเร็ง จึงต้องบำบัดด้วยรังสีบำบัดและเคมีบำบัด ในกรณีนี้ผู้ป่วยสามารถเก็บไข่ที่ยังไม่ได้ผสมแช่แช็งไว้ในห้องปฏิบัติการ หรือสามารถเก็บไข่ที่ผสมกับสเปิร์มเป็นตัวอ่อนแล้วแช่แข็งไว้ในห้องปฏิบัติการแล้วค่อยใส่กลับเข้าไปทำให้เกิดการตั้งภรรภ์ได้ในภายหลัง
ข้อจำกัดของการทำเด็กหลอดแก้ว
- ผู้ที่มีมดลูกไม่แข็งแรงหรือมดลูกทำงานผิดปกติ จะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้
- ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพร้ายแรงและจะเป็นอันตรายหากตั้งครรภ์
หากประสบปัญหาดังกล่าวข้างต้นแล้วทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถตั้งครรภ์ด้วยตนเองได้ สามารถเก็บไข่และสเปิร์มเพื่อทำเด็กหลอดแก้ว แล้วใส่กลับเข้าไปให้อาสาสมัครที่ไว้ใจตั้งครรภ์แทนได้ หรือหากไม่สามารถใช้สเปิร์มของฝ่ายชายได้ สามารถเลือกรับสเปิร์มที่มีผู้บริจาคได้เช่นกัน
การเตรียมการก่อนทำเด็กหลอดแก้ว
ปรึกษาแพทย์
เมื่อประสบปัญหาภาวะมีบุตรยาก และพยายามมีบุตรด้วยวิธีการอื่นแล้วไม่ได้ผล ควรไปพบแพทย์เพื่อปรึกษาขอคำแนะนำ ผู้ป่วยจะตัดสินใจเข้ารับการรักษาร่วมกับแพทย์ โดยพิจารณาจากประวัติของผู้ป่วย และประวัติการรักษาที่ผ่านมาของผู้ป่วย ข้อดี ข้อเสีย ความเสี่ยง โอกาสประสบความสำเร็จ และค่าใช้จ่ายในการทำเด็กหลอดแก้ว ซึ่งราคาการทำเด็กหลอดแก้วในประเทศไทยจะอยู่ที่ประมาณ 100,000-300,000 บาทต่อครั้ง จากนั้นแพทย์จะตรวจร่างกายผู้ป่วยและทดสอบคัดกรองด้วยวิธีต่าง ๆ ก่อนวางแผนรักษาและนัดหมายในขั้นตอนต่อไป
การทดสอบคัดกรองก่อนการรักษา
- การทดสอบการทำงานของรังไข่ แพทย์อาจตรวจเลือดในช่วง 2-3 วันแรกที่มีประจำเดือน เพื่อตรวจหาฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโตของไข่ (Follicle-Stimulating Hormone: FSH) ฮอร์โมนเอสทราไดออล และฮอร์โมนแอนติมูลเลอเรียน ซึ่งเป็นแนวทางในการตรวจดูคุณภาพและปริมาณของไข่ในฝ่ายหญิง และแนวโน้มในการตอบสนองต่อการใช้ยากระตุ้นไข่ โดยมักจะทำร่วมกันกับการอัลตราซาวด์รังไข่
- การตรวจวิเคราะห์น้ำอสุจิ แพทย์จะตรวจน้ำอสุจิดูความสมบูรณ์ หากการตรวจอสุจิไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาของการตกไข่ของฝ่ายหญิง แพทย์จะเก็บตัวอย่างน้ำอสุจิไว้เพื่อทำการวิเคราะห์ก่อน และเก็บตัวอย่างน้ำอสุจิอีกครั้งเมื่อจะทำการผสมเพื่อทำเด็กหลอดแก้ว
- การตรวจคัดกรองภาวะติดเชื้อ เป็นการตรวจหาภาวะติดเชื้อทั้งในฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย โดยเฉพาะการติดเชื้อไวรัสร้ายแรงอย่างเอชไอวี
- การทดสอบถ่ายฝากตัวอ่อน แพทย์จะทดสอบความลึกของมดลูกเพื่อเตรียมการก่อนการถ่ายฝากตัวอ่อนที่ปฏิสนธิแล้วเข้าไปในมดลูก เพื่อเตรียมการและประเมินโอกาสประสบความสำเร็จ
- การทดสอบโพรงมดลูก แพทย์จะทดสอบโพรงมดลูกก่อนเริ่มทำเด็กหลอดแก้วด้วยวิธีการฉีดของเหลวเข้าไปในโพรงมดลูกผ่านทางช่องคลอดแล้วดูภาพจากอัลตราซาวด์ (Sonohysterography) หรือการส่องกล้องในโพรงมดลูก (Hysteroscopy) ที่แพทย์จะสอดกล้องเทเลสโคป (Telescope) เข้าไปทางช่องคลอดเพื่อส่องตรวจภายในโพรงมดลูก
ขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้ว
ขั้นตอนการทำเด็กหลอดแก้ว อาจมีความแตกต่างกันในแต่ละคลินิกหรือสถานพยาบาล โดยวิธีการหลัก ๆ มีดังนี้
ขั้นตอนของฝ่ายหญิง
- ขั้นที่ 1 ควบคุมรอบเดือน
- ขั้นที่ 2 กระตุ้นการตกไข่ แพทย์จะให้ฉีดฮอร์โมนกระตุ้นการเจริญเติบโตของไข่ (Follicle-Stimulating Hormone: FSH) ผู้ป่วยสามารถฉีดได้เองทุกวันที่บ้านเป็นเวลาประมาณ 10-12 วัน เพื่อเพิ่มการผลิตไข่ให้ได้จำนวนไข่มากขึ้น เป็นการเพิ่มโอกาสในการเลือกไข่ที่สมบูรณ์ที่สุดเมื่อผสมกับอสุจิของฝ่ายชาย และแพทย์อาจให้ฉีดยาป้องกันการตกไข่ก่อนเวลาอันควรร่วมด้วย เป็นการเพิ่มโอกาสในการเลือกไข่ที่สมบูรณ์ที่สุด
- ขั้นที่ 3 ตรวจความคืบหน้า แพทย์จะตรวจความคืบหน้าหลังผู้ป่วยได้รับยาและฮอร์โมนกระตุ้นการผลิตไข่ด้วยการตรวจอัลตราซาวด์เพื่อดูจำนวนและขนาดของไข่หรือตรวจเลือดเพื่อดูปริมาณฮอร์โมนในร่างกาย และจะฉีดฮอร์โมนเข็มสุดท้ายเมื่อไข่เจริญเติบโตเต็มที่เพื่อกระตุ้นให้ไข่ตก ประมาณ 34-38 ชั่วโมงก่อนการเก็บไข่
- ขั้นที่ 4 เก็บไข่รอการผสม แพทย์จะให้ยาชาหรือยาสลบแก่ผู้ป่วยแล้วจึงใช้เข็มดูดไข่ออกมาผ่านทางช่องคลอด โดยแพทย์จะดูภาพผ่านอัลตราซาวด์ และขั้นตอนนี้จะใช้เวลาประมาณ 15-20 นาที
- ขั้นที่ 5 ผสมไข่กับอสุจิ หลังการเก็บไข่ แพทย์จะให้ยาฮอร์โมนแก่ผู้ป่วยเพื่อเตรียมผนังมดลูกให้พร้อมรับการตั้งครรภ์ อาจเป็นในรูปแบบสอดในช่องคลอด เจล หรือยาฉีด จากนั้นแพทย์จะนำไข่ที่เก็บจากฝ่ายหญิงกับสเปิร์มที่ได้จากฝ่ายชายไปผสมจนเกิดการปฏิสนธิในห้องปฏิบัติการ โดยแพทย์จะตรวจผลว่ามีการปฏิสนธิหรือไม่หลังผ่านไป 16-20 ชั่วโมง หากมีการปฏิสนธิ ตัวอ่อนจะเติบโตในอุปกรณ์ในห้องปฏิบัติการ ก่อนแพทย์จะนัดหมายกับผู้ป่วยเพื่อฉีดตัวอ่อนให้เข้าไปฝังตัวในมดลูกในขั้นต่อไป
- ขั้นที่ 6 ถ่ายฝากตัวอ่อน ประมาณ 2-3 วันหลังการเก็บไข่ และการผสมไข่กับสเปิร์มจนปฏิสนธิจนกลายเป็นตัวอ่อนแล้ว แพทย์จะเลือกตัวอ่อนที่แข็งแรงที่สุดแล้วฉีดกลับเข้าไปในมดลูกผ่านทางท่อที่สอดใส่ผ่านช่องคลอดไปถึงมดลูก ขั้นตอนนี้ผู้ป่วยไม่จำเป็นต้องได้รับยาชาหรือยาสลบแต่อย่างใด โดยปกติจะถ่ายฝากตัวอ่อนที่สมบูรณ์ที่สุดเพียงตัวเดียว แต่บางกรณีที่มีปัจจัยทางการแพทย์ เช่น ไม่มีตัวอ่อนที่คุณภาพดีที่สุด หรือผู้ป่วยที่ต้องการตั้งครรภ์มีอายุมากประมาณ 40-42 ปีขึ้นไป แพทย์อาจใส่ตัวอ่อนเพิ่ม แต่ไม่ควรเกิน 2 ตัวเพื่อลดโอกาสเกิดการตั้งครรภ์แฝด ทั้งนี้จำนวนตัวอ่อนที่ใส่เข้าไป แพทย์และผู้ป่วยควรจะทำการตัดสินใจร่วมกัน
ขั้นตอนของฝ่ายชาย
น้ำอสุจิหรือสเปิร์มของฝ่ายชายจะถูกเก็บพร้อม ๆ กับช่วงที่เก็บไข่ของฝ่ายหญิง โดยน้ำอสุจิที่ถูกเก็บแล้วจะถูกนำมาล้างและปั่นเพื่อเลือกเสปิร์มที่สมบูรณ์และแข็งแรงที่สุด
หลังการถ่ายฝากตัวอ่อน
หลังถ่ายฝากตัวอ่อนเข้าไปในมดลูก ผู้ป่วยที่ไม่มีปัญหาสุขภาพสามารถกลับบ้านและใช้ชีวิตได้ตามปกติ ในบางกรณีเท่านั้นที่ต้องพักดูอาการที่โรงพยาบาล เช่น ผู้ที่มีความเสี่ยงต่ออาการรังไข่ตอบสนองต่อการกระตุ้นมากเกินไป (OHSS หรือ Ovarian Hyperstimulation Syndrome) โดยผู้หญิงที่ได้รับการถ่ายฝากตัวอ่อนแล้วต้องมาพบแพทย์ใน 12-14 วันให้หลังเพื่อตรวจการตั้งครรภ์ และต้องใช้ยาหรือฮอร์โมนโปรเจสเตอโรนต่อไปอีก 8-10 สัปดาห์ ซึ่งจะช่วยให้ผนังมดลูกหนาขึ้นเอื้อต่อการฝังตัวของตัวอ่อน และป้องกันการแท้งลูก
แม้ขั้นตอนการถ่ายฝากตัวอ่อนจะลุล่วงไปแล้ว แต่เมื่อผู้ป่วยกลับมาพักที่บ้าน ควรสังเกตและเฝ้าระวังอาการที่เป็นสัญญาณของปัญหาสุขภาพที่อาจเกิดขึ้น หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษา
- มีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส
- ปวดบริเวณอุ้งเชิงกราน
- ปัสสาวะเป็นเลือด หรือมีเลือดปน
- มีเลือดไหลออกจากช่องคลอดจำนวนมาก
การทำเด็กหลอดแก้วที่ประสบความสำเร็จ
อัตราการเกิดที่มาจากความสำเร็จในการตั้งครรภ์จากเด็กหลอดแก้วในกลุ่มผู้หญิงอายุ 34 ปีลงมา อยู่ที่ 30-40% ในการถ่ายฝากตัวอ่อนครั้งแรก และอัตราการเกิดลดต่ำลงมากในกลุ่มผู้หญิงที่อายุมากกว่า 35 ปี
อย่างไรก็ตาม แม้ประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์และการคลอดบุตร การทำเด็กหลอดแก้วอาจส่งผลต่อทั้งสภาพร่างกายและสภาพจิตใจของทั้งฝ่ายหญิงและฝ่ายชาย บางคู่อาจมีปัญหาความยากลำบากในการปรับตัวเพื่อมีลูกจากการทำเด็กหลอดแก้ว ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรพูดคุยและได้รับกำลังใจจากทั้งครอบครัว บุคคลใกล้ชิด และสามารถเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ หรือนักบำบัดได้เช่นกัน โดยแพทย์หรือนักบำบัดอาจแนะนำให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกลุ่มบำบัด แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และให้กำลังใจซึ่งกันและกันในกลุ่มผู้ที่ทำเด็กหลอดแก้วเช่นเดียวกัน เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถใช้ชีวิตและปรับตัวพร้อมรับสมาชิกใหม่ที่เกิดมา
การทำเด็กหลอดแก้วที่ไม่ประสบความสำเร็จ
สำหรับผู้ที่ไม่ประสบความสำเร็จในการตั้งครรภ์ด้วยการทำเด็กหลอดแก้ว ควรเว้นช่วงหลาย ๆ เดือนเพื่อพักฟื้นสภาพร่างกายและจิตใจ ก่อนจะคิดเรื่องการมีบุตรและพยายามใหม่อีกครั้ง ระหว่างนี้ ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ถึงสาเหตุที่ทำให้การตั้งครรภ์ล้มเหลว เนื่องจากมีหลายปัจจัยที่มีผลต่อการประสบความสำเร็จในการทำเด็กหลอดแก้ว และหากยังต้องการมีบุตร ควรเลือกวิธีการที่เหมาะสมต่อไป โดยผู้ป่วยและคู่ครองควรพูดคุยปรึกษากันถึงความพร้อมทางสภาพร่างกายและจิตใจก่อนจะดำเนินการขั้นตอนใดต่อไป ส่วนด้านสภาพจิตใจ ผู้ป่วยสามารถเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ นักบำบัด หรือเข้าร่วมกลุ่มบำบัด แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และให้กำลังใจซึ่งกันและกันได้เช่นเดียวกัน
ความเสี่ยงจากการทำเด็กหลอดแก้ว
- ความเครียด การทำเด็กหลอดแก้วส่งผลกระทบต่อสภาพร่างกาย สภาพจิตใจ และสภาวะทางการเงินของผู้ป่วย จึงเป็นเหตุทำให้เกิดความเครียดได้ ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรพูดคุยและได้รับกำลังใจจากทั้งครอบครัว บุคคลใกล้ชิด และสามารถเข้ารับการปรึกษาจากแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญ หรือนักบำบัดได้เช่นกัน โดยแพทย์หรือนักบำบัดอาจแนะนำให้ผู้ป่วยเข้าร่วมกลุ่มบำบัด แลกเปลี่ยนประสบการณ์ และให้กำลังใจซึ่งกันและกันในกลุ่มผู้ที่ทำเด็กหลอดแก้วเช่นเดียวกัน
- ผลข้างเคียงจากการใช้ยาในระหว่างกระบวนการทำเด็กหลอดแก้วและการถ่ายฝากตัวอ่อน เช่น ปวดหัว ร้อนวูบวาบ กระสับกระส่าย รู้สึกไม่ดี หงุดหงิด
- อาการรังไข่ตอบสนองต่อการกระตุ้นมากเกินไป เนื่องจากได้รับฮอร์โมนกระตุ้นที่เกี่ยวกับการตั้งงครรภ์ (Human Chorionic Gonadotropin: HCG) มากเกินไป ซึ่งอาจทำให้รังไข่บวมและสร้างความเจ็บปวดได้ โดยจะมีอาการแสดง เช่น ปวดท้อง ท้องอืด แน่นท้อง หายใจลำบาก คลื่นไส้ อาเจียน ท้องร่วง เป็นต้น
- ตั้งครรภ์ลูกแฝด ในบางรายที่มีการถ่ายฝากตัวอ่อนมากกว่า 1 ตัว ตัวอ่อนทั้งหมดอาจฝังตัวที่ผนังมดลูกและตั้งครรภ์ลูกแฝดได้ ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงต่อผู้เป็นแม่ที่ต้องอุ้มท้องลูก 2 คน และเสี่ยงต่อภาวะที่เด็กเกิดมามีน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อยไปด้วย
- คลอดก่อนกำหนดและน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย มีความเสี่ยงที่เด็กที่เกิดจากการทำเด็กหลอดแก้วอาจคลอดก่อนกำหนดและมีน้ำหนักตัวแรกเกิดน้อย
- แท้งลูก อัตราการแท้งลูกของผู้หญิงที่ตั้งครรภ์เด็กหลอดแก้วอยู่ที่ 15-25% โดยอัตราจะแปรผันเพิ่มมากขึ้นตามอายุที่เพิ่มมากขึ้นของผู้ที่ตั้งครรภ์
- ภาวะแทรกซ้อนจากกระบวนการเก็บไข่ ในขั้นตอนการเก็บไข่ ทั้งการใช้ยาสลบ ยาชา หรือที่แพทย์ต้องใช้เข็มดูดเอาไข่ออกมาอาจทำให้เกิดแผล มีเลือดไหล เกิดการติดเชื้อ หรือสร้างความเสียหายต่อลำไส้ กระเพาะปัสสาวะ และเส้นเลือดในบริเวณใกล้เคียงได้
- ตั้งครรภ์นอกมดลูก ไข่ที่ได้รับการผสมแล้วอาจไปฝังตัวที่บริเวณท่อนำไข่แทนที่จะฝังตัวและเจริญเติบโตภายในมดลูก ทำให้ตัวอ่อนไม่สามารถเจริญเติบโตต่อไปได้ โดยมีความเสี่ยงที่จะเกิดการตั้งครรภ์ในลักษณะนี้เพียง 2-5% เท่านั้น
- พิการแต่กำเนิด เป็นผลที่เกิดจากความเสี่ยงที่ผู้เป็นแม่ตั้งครรภ์เมื่อมีอายุมาก แต่ยังไม่มีงานวิจัยสนับสนุนว่าการทำเด็กหลอดแก้วจะเพิ่มความเสี่ยงที่เด็กจะพิการแต่กำเนิดมากขึ้น