เอวเคล็ด

ความหมาย เอวเคล็ด

เอวเคล็ด คือ ภาวะบาดเจ็บของหลังส่วนล่างจากการฉีกขาดของกล้ามเนื้อหรือเอ็นบริเวณนั้น ซึ่งอาจเกิดจากการใช้งานที่ไม่เหมาะสมหรือการใช้งานหนักเกินไปจนส่งผลให้รู้สึกเจ็บปวดบริเวณเอว โดยมักรักษาให้หายได้ภายในระยะเวลาไม่กี่วันหรือหลายสัปดาห์ แต่บางรายอาจมีอาการอย่างเรื้อรังต่อไปได้

เอวเคล็ด

อาการเอวเคล็ด

ผู้ป่วยแต่ละรายอาจมีอาการแตกต่างกัน ซึ่งส่วนใหญ่มักมีอาการ ดังนี้

  • ปวดหลังส่วนล่างอย่างเฉียบพลัน รู้สึกเจ็บเมื่อถูกสัมผัส อาจปวดร้าวไปถึงบริเวณก้น ขาหนีบ หรือขา
  • เคลื่อนไหวลำบาก รู้สึกปวดหลังส่วนล่างมากขึ้นเมื่อทำกิจกรรม ซึ่งรวมถึงเมื่อก้ม ยืดเหยียด ไอ หรือจามด้วย

อาการเอวเคล็ดอาจเกิดจากปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ผู้ป่วยจึงควรปรึกษาแพทย์เพื่อเข้ารับการวินิจฉัยและรักษาอย่่างเหมาะสม โดยเฉพาะหากมีอาการอื่น ๆ เกิดขึ้นร่วมกับเอวเคล็ด ดังนี้

  • มีไข้สูงกว่า 38.3 องศาเซลเซียส
  • ปัสสาวะบ่อย เจ็บขณะปัสสาวะ ปัสสาวะปนเลือด หรือควบคุมการขับถ่ายไม่ได้
  • ปวดท้องอย่างรุนแรง
  • ปวดเอวแบบเจ็บแปลบหรือรู้สึกเหมือนถูกแทง ปวดเอวตลอดเวลาหรือไม่ทุเลาลงหลังจากเริ่มมีอาการนานกว่า 1 สัปดาห์ ปวดเอวร้าวไปถึงขา ปวดหรือชาบริเวณขา ขาอ่อนแรง ยืนหรือเดินไม่ได้  
  • ปวดหลังบริเวณอื่น ๆ เพิ่มเติม

สาเหตุของเอวเคล็ด

เอวเคล็ดมักเกิดจากการทำกิจกรรมที่ส่งผลให้กล้ามเนื้อหรือเอ็นกล้ามเนื้อบริเวณหลังส่วนล่างเกิดการบาดเจ็บ ซึ่งปัจจัยที่สามารถทำให้เกิดเอวเคล็ดได้ มีดังนี้

  • เคยเอวเคล็ดมาก่อน
  • ไม่อบอุ่นร่างกายก่อนทำกิจกรรมหรือออกกำลังกาย
  • ยกสิ่งของที่มีน้ำหนักมากโดยใช้กล้ามเนื้อหลังแทนที่จะใช้กล้ามเนื้อขา หรือทำกิจกรรมที่ต้องออกแรงมากกว่าปกติ
  • เล่นกีฬาที่ต้องเคลื่อนไหวร่างกายและออกแรงมาก เช่น ยกน้ำหนัก บาสเก็ตบอล เทนนิส หรือกอล์ฟ
  • อยู่ในท่วงท่าที่ไม่ถูกต้อง นั่งหรือยืนเป็นเวลานาน ก้มหรือหมอบคลานหลาย ๆ ครั้งติดต่อกัน
  • มีน้ำหนักตัวเกินเกณฑ์
  • หกล้ม หรือประสบอุบัติเหตุกระทบกระเทือนจนทำให้เอวเคล็ด
  • ไออย่างรุนแรง
  • หลังส่วนล่างงอมากผิดปกติ กล้ามเนื้อหลังหรือหน้าท้องอ่อนแอ กระดูกเชิงกรานเอียงไปด้านหน้า กล้ามเนื้อต้นขาส่วนหลังตึงตัวมากผิดปกติ

การวินิจฉัยเอวเคล็ด

โดยทั่วไป แพทย์จะวินิจฉัยอาการเอวเคล็ดด้วยการซักประวัติและตรวจร่างกาย แต่หากสงสัยว่าอาจเอวเคล็ดจากโรคอื่น ๆ แพทย์อาจตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมด้วยการเอกซเรย์ ทำซีที สแกน หรือเอ็มอาร์ไอ สแกน เพื่อศึกษาภาพถ่ายเนื้อเยื่อและอวัยวะต่าง ๆ รวมทั้งกระดูกและกล้ามเนื้ออย่างละเอียด ซึ่งแพทย์อาจต้องให้สารทึบแสงแก่ผู้ป่วย เพื่อช่วยให้มองเห็นภาพบริเวณหลังส่วนล่างได้ชัดเจนมากขึ้น

นอกจากนี้ แพทย์อาจตรวจเพิ่มเติมด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การสแกนกระดูกด้วยสารกัมมันตภาพรังสี ซึ่งต้องฉีดสารกัมมันตภาพรังสีปริมาณเล็กน้อยเข้าสู่หลอดเลือดของผู้ป่วยก่อนสแกนดูการไหลเวียนของเลือดไปสู่กระดูกและดูการทำงานของเซลล์ในกระดูก หรืออาจตรวจคลื่นไฟฟ้ากล้ามเนื้อ เพื่อประเมินการทำงานของเส้นประสาทและกล้ามเนื้อ เป็นต้น

การรักษาเอวเคล็ด

อาการเอวเคล็ดสามารถหายได้เองภายในระยะเวลาไม่กี่วันหากมีอาการเพียงเล็กน้อย ส่วนผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอาจใช้เวลารักษาตัวนานหลายสัปดาห์

โดยผู้ป่วยสามารถดูแลรักษาอาการเอวเคล็ดได้ ดังนี้

  • นอนพัก ผู้ป่วยควรพักทำกิจกรรมไปก่อนหลังจากได้รับบาดเจ็บเป็นเวลา 1-2 วัน
  • ประคบเย็น ผู้ป่วยควรประคบน้ำแข็งบริเวณที่ปวดทันที และทำซ้ำทุก ๆ 3-4 ชั่วโมง ครั้งละ 20-30 นาที เป็นเวลา 2-3 วัน เพื่อลดอาการปวดบวม
  • ประคบร้อน เมื่ออาการบวมทุเลาลง ผู้ป่วยควรประคบร้อนบริเวณหลังส่วนล่างหลังจากประคบเย็นในช่วง 2-3 วันแรกแล้วเท่านั้น โดยผู้ป่วยสามารถแช่ตัวในน้ำร้อน รวมทั้งใช้แผ่นประคบร้อนหรือถุงน้ำร้อนประคบครั้งละ 20 นาที ทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพื่อช่วยลดอาการปวดและการหดเกร็งของกล้ามเนื้อ
  • รับประทานยา ผู้ป่วยอาจรับประทานยาพาราเซตามอลเพื่อลดอาการปวด โดยแพทย์อาจแนะนำให้ผู้ป่วยรับประทานยากลุ่มเอนเสด เพื่อช่วยลดอาการปวดบวมบริเวณหลังส่วนล่าง เช่น ไอบูโพรเฟน หรือนาพรอกเซน เป็นต้น แต่ไม่ควรใช้ยาติดติดกันเป็นเวลานาน เพราะยากลุ่มนี้มีผลข้างเคียงมาก ยกเว้นในกรณีที่แพทย์แนะนำให้ใช้ นอกจากนี้ แพทย์อาจให้ยาแก้ปวดประเภทอื่นและยาคลายกล้ามเนื้อแก่ผู้ป่วยบางราย เพื่อช่วยลดอาการปวดและการหดเกร็งของกล้ามเนื้อด้วย
  • ทำกิจกรรมและออกกำลังกาย ผู้ป่วยอาจเริ่มทำกิจกรรมที่ออกแรงน้อยหลังจากพักทำกิจกรรมในช่วงแรกของการบาดเจ็บ เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ รักษาความตึงตัวของกล้ามเนื้อหลังส่วนล่างและกล้ามเนื้อหน้าท้องให้กลับมาเป็นปกติ รวมทั้งลดโอกาสการบาดเจ็บซ้ำ โดยอาจว่ายน้ำหรือปั่นจักรยานอยู่กับที่แทนการเล่นกีฬาประเภทอื่น ๆ ซึ่งผู้ป่วยควรออกกำลังกายแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ควรเพิ่มความหนักหน่วงของการออกกำลังกายจนกว่าจะรู้สึกเคลื่อนไหวได้ตามปกติ เพราะการหักโหมอาจทำให้ผู้ป่วยปวดหลังเรื้อรังและเกิดความเสียหายภายในอย่างถาวรได้
  • สวมใส่อุปกรณ์พยุงหลัง การสวมใส่เข็มขัดพยุงหลังหรือเสื้อพยุงหลังจะช่วยรองรับน้ำหนักบริเวณหลังซึ่งบรรเทาอาการเอวเคล็ดได้ โดยควรสวมใส่ในระยะเวลาสั้น ๆ สวมใส่เมื่อต้องยกสิ่งของที่มีน้ำหนักมาก หรือเมื่อต้องยกสิ่งของหลาย ๆ ครั้งติดต่อกัน ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดเกี่ยวกับวิธีการใช้อุปกรณ์

ภาวะแทรกซ้อนของเอวเคล็ด

ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงและไม่ได้เข้ารับการรักษา หรือฝืนทำกิจกรรมทั้งที่ยังไม่หายเป็นปกติ อาจเกิดการบาดเจ็บบริเวณหลังส่วนล่างอย่างเรื้อรัง ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ป่วยรู้สึกเจ็บปวดและซึมเศร้าจากอาการป่วยได้

การป้องกันเอวเคล็ด

โดยทั่วไป เอวเคล็ดสามารถป้องกันได้ ดังนี้

  • รักษาน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รวมทั้งอาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญหากมีน้ำหนักเกินหรือต้องการลดน้ำหนัก
  • ควรนอนหงายหรือนอนตะแคงโดยสอดหมอนใต้ขาหรือระหว่างขาทั้ง 2 ข้าง และไม่ควรนอนคว่ำ
  • งอเข่าและสะโพกเมื่อก้มลงเก็บสิ่งของบนพื้นแทนการก้มหลัง ใช้กล้ามเนื้อขารองรับน้ำหนักแทนการใช้หลัง ถือสิ่งของให้ชิดกับหน้าอกในระหว่างที่ยกตัวขึ้น และไม่ควรบิดตัวหรือยกสิ่งของเหนือระดับเอว
  • หลีกเลี่ยงการนั่งติดต่อกันเป็นเวลานาน พยายามนั่งหลังตรงพิงพนักเก้าอี้และวางเท้าราบไปกับพื้น โดยห้ามเอื้อม ดึง หรือผลักสิ่งของที่มีน้ำหนักมากในขณะนั่ง
  • เปลี่ยนท่ายืนบ่อย ๆ เมื่อต้องยืนเป็นเวลานาน โดยวางเท้าข้างหนึ่งลงบนที่พักเท้าแล้วยืนสลับเท้ากัน
  • อบอุ่นร่างกายก่อนออกกำลังกายเสมอ ออกกำลังกายในท่าที่ช่วยสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อหลัง ร่วมกับการยืดเหยียดกล้ามเนื้อเป็นประจำ หรือปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อฝึกกล้ามเนื้อในท่าออกกำลังกายที่ถูกต้อง