ทำความรู้จักเชื้อราที่ผิวหนัง พร้อมวิธีรักษาให้หายขาด

เชื้อราที่ผิวหนัง เป็นปัญหาทางผิวหนังที่พบได้บ่อยทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ส่งผลให้เกิดอาการคัน แดง บวม เป็นผื่น หรือเกิดการระคายเคืองบริเวณผิวหนัง โดยสามารถเกิดได้กับทุกส่วนของร่างกาย อีกทั้งยังสร้างความรำคาญและทำให้ขาดความมั่นใจได้ไม่น้อย ในบทความนี้จึงได้รวบรวมตัวอย่างโรคติดเชื้อราที่พบได้บ่อย พร้อมวิธีรักษาและการป้องกันมาฝากกัน

โรคเชื้อราที่ผิวหนังหรืออีกชื่อหนึ่งคือโรคเชื้อรา เป็นโรคผิวหนังที่เกิดจากการติดเชื้อรา ซึ่งเป็นสิ่งมีชีวิตชนิดหนึ่งที่อาศัยอยู่ตามพื้นดิน พืช พื้นผิวของเครื่องใช้หรือเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน รวมถึงผิวหนังของมนุษย์ การติดเชื้อราอาจเกิดได้จากการสัมผัสกับเชื้อราโดยตรง การสัมผัสผู้ติดเชื้อ สัตว์ เสื้อผ้าและสิ่งของเครื่องใช้ ส่วนการรักษาเชื้อราที่ผิวหนังนั้นทำได้โดยการใช้ยาต้านเชื้อราควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรม

2587-เชื้อราที่ผิวหนัง

ตัวอย่างโรคเชื้อราที่ผิวหนังที่พบได้บ่อย

โรคติดเชื้อราบริเวณผิวหนังนั้นสามารถเกิดขึ้นได้กับคนทุกเพศทุกวัย มีลักษณะอาการที่หลากหลาย โดยโรคที่พบได้ทั่วไปมีดังนี้

กลาก (Ringworm)

เป็นโรคติดเชื้อราบนผิวหนังที่พบได้บ่อย โดยผู้ติดเชื้อจะมีผื่นคันปรากฏบนผิวหนังเป็นวงแดงหรือขุยสีขาว และอาจมีอาการอักเสบคล้ายผื่นแดงเกิดขึ้นร่วมด้วย ซึ่งกลากสามารถขึ้นตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ตั้งแต่หนังศีรษะ ใบหน้า มือ เท้า เล็บ และขาหนีบ โดยพบได้กับคนทุกเพศทุกวัย สำหรับสาเหตุของกลากนั้นเกิดจากเชื้อราที่ผิวหนังในกลุ่มเดอมาโทไฟท์ (Dermatophytes) ที่อาศัยอยู่บนเซลล์ผิวหนังชั้นนอกของมนุษย์ซึ่งแพร่กระจายได้จากการสัมผัสคนหรือสัตว์ที่ติดเชื้อ การสัมผัสดินที่มีเชื้อรา และการสัมผัสสิ่งของที่มีเชื้อราเกาะอยู่ เช่น เสื้อผ้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าปูที่นอน และหวี เป็นต้น

เกลื้อน (Tinea Versicolor)

เป็นโรคติดเชื้อเชื้อราที่ผิวหนัง สามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย แต่พบได้บ่อยในวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ตอนต้น มักเกิดขึ้นบริเวณแขนส่วนบน หน้าอก และหลัง ปรากฏเป็นดวงเล็ก ๆ สีแดง ชมพู หรือน้ำตาล อาจมีสีเข้มหรืออ่อนกว่าผิวหนังบริเวณรอบ ส่งผลให้ผิวแห้ง ตกสะเก็ด และคัน โดยโรคเกลื้อนเกิดจากเชื้อมาลาสซีเซีย (Malassezia) ซึ่งปกติผิวของคนเราส่วนใหญ่จะมีเชื้อราชนิดนี้อยู่แล้ว แต่จำนวนที่มากกว่าปกติจะส่งผลให้ติดเชื้อได้ สำหรับปัจจัยที่อาจเป็นสาเหตุทำให้เชื้อราเจริญเติบโตมากเกินไป ได้แก่ สภาพอากาศที่ร้อน สภาพผิวมัน ภาวะเหงื่อออกมาก การเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมน และระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ อย่างไรก็ตาม โรคกลากจะไม่แพร่ไปสู่ผู้อื่น เพราะคนส่วนใหญ่มักมียีสต์มาลาสซีเซียอยู่บนผิวหนังอยู่แล้ว

สังคัง (Tinea Cruris)

เป็นโรคติดเชื้อราบนผิวหนังที่มักเกิดบริเวณต้นขาด้านในและขาหนีบ ส่งผลให้ผิวหนังบริเวณดังกล่าวเป็นผื่นแดงอักเสบและคัน อาจปรากฏเป็นแผ่นหรือเป็นวง พบได้บ่อยในเพศชายวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่ โดยอาการอาจรุนแรงขึ้นหลังการออกกำลังกาย และอาจแพร่กระจายไปสู่บริเวณก้นและหน้าท้องได้ สาเหตุของการเกิดสังคังนั้นมาจากการติดเชื้อราที่เจริญเติบโตได้ดีในที่อับและเปียกชื้น ซึ่งเชื้อสามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนและผ่านการใช้สิ่งของที่ติดเชื้อร่วมกัน เช่น ผ้าขนหนู และเสื้อผ้า เป็นต้น

เชื้อราที่เท้า

หรืออีกชื่อหนึ่งคือฮ่องกงฟุตหรือน้ำกัดเท้า เป็นโรคติดเชื้อราที่ผิวหนังบริเวณเท้าและง่ามนิ้วเท้า มักจะเกิดขึ้นในผู้ที่มีเหงื่อออกเท้ามากขณะสวมใส่รองเท้าที่คับแน่นเกินไป ส่งผลให้มีอาการคัน เกิดผื่นแดง และอาจมีแผลหรือตุ่มน้ำเกิดร่วมด้วย โดยโรคเชื้อราที่เท้าเป็นโรคติดต่อที่สามารถแพร่กระจายผ่านการสัมผัสผู้ติดเชื้อหรือการสัมผัสสิ่งของที่ปนเปื้อนเชื้อ เช่น ผ้าเช็ดตัว ถุงเท้า และรองเท้า เป็นต้น

โรคติดเชื้อราแคนดิดา

โรคติดเชื้อราที่ผิวหนัง เกิดจากเชื้อราแคนดิดา (Candida) มักปรากฏเป็นผื่นแดงคันคล้ายตุ่มสิวบริเวณผิวหนังที่อับชื้นและตามรอยพับของร่างกาย เช่น ข้อพับของแขน ขา รักแร้ ขาหนีบ โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคอ้วนและโรคเบาหวาน นอกจากนี้ เชื้อราชนิดนี้ยังทำให้เกิดผื่นผ้าอ้อมในทารก การติดเชื้อในช่องคลอดในเพศหญิง การติดเชื้อบริเวณเล็บและช่องปากได้ด้วย

เชื้อราที่ผิวหนัง รักษาอย่างไร ?

โรคเชื้อราที่ผิวหนังสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาต้านเชื้อรา โดยในท้องตลาดมีอยู่หลายกลุ่มด้วยกัน แต่กลุ่มยาที่ถูกนำมาใช้รักษาอย่างแพร่หลายเป็นยาต้านเชื้อรากลุ่มอิมิดาโซล (Imidazoles) ยากลุ่มนี้เป็นยาทาภายนอกที่มีคุณสมบัติกำจัดเชื้อราและยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อราที่ก่อให้เกิดการติดเชื้อบริเวณต่าง ๆ ของร่างกายได้โดยตรง สามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไปและมีอยู่หลากหลายรูปแบบ ทั้งยาครีม ยาเหน็บ ยาเม็ด โลชั่น หรือสเปรย์

โดยตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ ได้แก่ 

  • โคลไตรมาโซล (Clotrimazole)

เป็นยาต้านเชื้อราใช้รักษาโรคติดเชื้อราที่ผิวหนัง เช่น กลาก เกลื้อน สังคัง เชื้อราที่เท้า เชื้อราที่เล็บ ผื่นผิวหนังอักเสบบริเวณซอกพับ โรคเชื้อราจากการติดเชื้อแคนดิดา และผื่นผ้าอ้อม เป็นต้น มีทั้งรูปแบบครีม สเปรย์ และยาน้ำ โดยใช้ทาผิวหนังบริเวณที่ติดเชื้อวันละ 2-3 ครั้ง เป็นเวลาอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ในบางผลิตภัณฑ์อาจนำยาโคลไตรมาโซลไปผสมกับตัวยาอื่นเพื่อให้มีฤทธิ์ต้านการอักเสบร่วมด้วย

  • ไบโฟนาโซล (Bifonazole)

เป็นยากลุ่มต้านเชื้อราที่ออกฤทธิ์ต้านการอักเสบ ใช้สำหรับการรักษาโรคติดเชื้อทางผิวหนัง เช่น กลาก เกลื้อน สังคัง เชื้อราที่เท้า และผื่นคันอื่น ๆ ที่มีสาเหตุเกิดจากเชื้อรา โดยตัวยาสามารถซึมผ่านผิวหนังที่ติดเชื้อได้ดี ใช้ทาบาง ๆ บริเวณผิวหนังที่ติดเชื้อวันละ 1 ครั้งก่อนนอน เป็นเวลา 2-3 สัปดาห์ หรือทาตามคำสั่งของแพทย์อย่างต่อเนื่อง แม้มีอาการดีขึ้นแล้วก็ตาม

  • คีโตโคนาโซล (Ketoconazole)

ยาต้านเชื้อราใช้รักษาการติดเชื้อราที่ผิวหนัง เช่น กลาก เกลื้อน สังคัง เชื้อราที่เท้า เชื้อราที่หนังศีรษะ และการติดเชื้อยีสต์ มีทั้งรูปแบบครีมและแชมพู โดยยารูปแบบครีมใช้ทาบริเวณผิวหนังที่ติดเชื้อวันละหนึ่งครั้งเป็นเวลา 2-6 สัปดาห์ สำหรับยารูปแบบแชมพูใช้ทุก ๆ 3-4 วัน ติดต่อกันเป็นเวลา 8 สัปดาห์

ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรอ่านฉลากยาให้ละเอียดทุกครั้งและปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้ยาอย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัยใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา เนื่องจากการใช้ยาเป็นระยะเวลานานกว่าที่กำหนดอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ ซึ่งระยะเวลาของการรักษาขึ้นอยู่กับชนิดของการติดเชื้อที่เป็น ความรุนแรงของโรค และปัญหาสุขภาพ

เชื้อราที่ผิวหนัง ป้องกันอย่างไรให้ได้ผล ?

โรคเชื้อราที่ผิวหนังป้องกันได้ด้วยการดูแลสุขอนามัยของตนเองอยู่เสมอ รวมถึงปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงในการได้รับเชื้อ ดังนี้

  • เปลี่ยนเสื้อผ้าทุกครั้งหลังว่ายน้ำหรือออกกำลังกาย 
  • ทำความสะอาดสิ่งของที่ต้องใช้ร่วมกับผู้อื่นทุกครั้งก่อนใช้ เช่น เสื่อ หรืออุปกรณ์ในฟิตเนส เป็นต้น 
  • ใช้ยาต้านเชื้อราชนิดผงโรยในรองเท้า 
  • ไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น เช่น ผ้าเช็ดตัว เสื้อผ้า กรรไกรตัดเล็บ หรือหวี เป็นต้น 
  • ไม่ใส่เสื้อผ้า ถุงเท้า หรือชุดชั้นในซ้ำ
  • ไม่ใส่รองเท้าหรือเสื้อผ้าที่มีขนาดเล็กเกินไป 
  • หลีกเลี่ยงการเดินบนพื้นด้วยเท้าเปล่า 
  • หลีกเลี่ยงการสัมผัสสัตว์ที่มีอาการหรือสัญญาณของโรคติดเชื้อรา เช่น ขนร่วง มีอาการคันและเกาบ่อย เป็นต้น