ถามแพทย์

  • มีของเหลวไหลจากอวัยวะเพศ ไปหาหมอบอกเป็นหนองใน ได้ยามาทาน อาการหายไปแล้วเป็นอีก

  •  Kc1993
    สมาชิก

    อาการของเหลวสีขุ่นขาวไหลที่อวัยวะเพศและมีอาการคันที่ปลายอวัยวะเพศครับวันที่ 7 ธ.ค. ไป รพ.หมอวินิจฉัยว่าเป็นหนองใน รักษาด้วยการฉีดยาและทานยาครับ เริ่มไม่มีอาการวันที่ 13 ธ.ค. ครับ แต่วันที่ 18 ธ.ค. อาการก็เริ่มกลับมา อยากรู้ว่าหมอเขาวินิจฉัยผิดโรครึเปล่าครับหรือว่าเชื้อมันดื้อยาแล้วไม่หายครับ แล้วควรไปหาหมดเดิมหรือเปลี่ยน รพ.ดีครับ ขอบคุณครับ ปล.ระหว่างที่รักษาได้มีเพศสัมพันธ์กับแฟนแบบสวมถุงยางครับ

    สวัสดีค่ะ คุณ Kc1993,

                         อาการมีของเหลวขุ่นไหลจากอวัยวะเพศชาย อาจเกิดจาก

                        - หนองในแท้ อาการจะปรากฎหลังจากได้รับเชื้อหรือหลังจากมีเพศสัมพันธ์ประมาณ 2-10 วัน โดยจะเริ่มจากมีอาการปัสสาวะขัด แสบเวลาปัสสาวะ ต่อมาเริ่มมีมูกใสๆ ไหลซึมออกจากท่อปัสสาวะ ภายใน 12 ชั่วโมงต่อมา จะกลายเป็นหนองข้นสีเหลือง หากมีเพศสัมพันธ์อีกจะรู้สึกเจ็บปวด บางรายอาจมีถุงอัณฑะบวมได้ หรือมีการบวมแดงที่หนังหุ้มปลายองคชาตร่วมด้วย 

                        - โรคหนองในเทียม เกิดจากการติดเชื้อคนละชนิดกับหนองในแท้ อาการจะปรากฏหลังจากได้รับเชื้อประมาณ 1-2 สัปดาห์ โดยประมาณ 50% ของผู้ที่ติดเชื้อจะไม่แสดงอาการใดๆ ที่เหลือจะมีอาการแสบที่ท่อปัสสาวะ ปัสสาวะขัด และมีมูกใสๆ หรือมูกขุ่นๆ ออกจากท่อปัสสาวะ ไม่ข้นเป็นหนองแบบโรคหนองในแท้ 

                         ทั้งนี้ ประมาณ 30% ของผู้ที่เป็นหนองในแท้มักติดหนองในเทียมร่วมด้วย ดังนั้นจึงมักให้การรักษาไปพร้อมกัน

                        - การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะจากเชื้ออบคทีเรียทั่วไป มักทำให้มีปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะขุ่น มีเลือดปน เป็นต้น แต่มักไม่ได้ทำให้มีหนองหรือมูกไหลออกจากท่อปัสสาวะ

                         ทั้งนี้ การรักษาโรคหนองในแท้ที่ร่วมกับหนองในเทียม คือ การฉีดยาปฏิชีวนะ แล้วตามด้วยการทานยาปฏิชีวนะต่อ

                         ดังนั้น หากได้รับการรักษาแล้วอาการหายไป ก็น่าจะเกิดจากโรคหนองในได้ ส่วนการที่อาการกลับมาเป็นอีก อาจเกิดจากการติดเชื้อซ้ำอีก เพราะหากยังมีเพศสัมพันธ์ต่อ ก็ย่อมมีโอกาสกลับไปติดเชื้อใหม่ได้ ซึ่งการใช้ถุงยางอนามัยนั้น อาจไม่ช่วยป้องกันการติดเชื้อได้ 100% นอกจากนี้ ก็อาจเกิดจากการที่เชื้อดื้อยาได้ด้วย ดังนั้น หากกลับมามีอาการใหม่ แนะนำควรกลับไปตรวจที่โรงพยาบาลเดิม เพื่อจะได้ทราบประวัติการรักษา และควรพาฝ่ายหญิงไปรักษาด้วย แม้จะไม่มีอาการก็ตามค่ะ