ถามแพทย์

  • มีเพศสัมพันธ์ กินยาคุมฉุกเฉิน แล้วมีเลือดออกมา แล้วได้กินยาอีกครั้ง ตอนนี้ประจำเดือนยังไม่มา จะท้องไหม

  •  Nungning Supansa
    สมาชิก
    ประจำเดือนมาตามปกติ ประมานต้นเดือนคะ ครั้งล่าสุดประจำเดือน มาวันที่2 -5 ธันวาคมและ มีเพศสัมพันธ์กับแฟน ถ้าจำไม่ผิดวันที่ 11 คะ และหลังจากนั้นก็กินยาคุมฉุกเฉินคะ เพราะแฟนปล่อยใน พอมาวันที่18 ธันวาคม คะ ประจำเดือนมาอีกครั้ง มีเลือดออก สีแดง ปกติ คะ เลยตกใจ ว่า ประจำเดือนหรือเป็นเพราะผลที่เรากินยาคุมเข้าไป เลยทำให้ ประจำเดือนมา2 ครั้งใน 1เดือนคะ เเต่เพื่อนบอกว่า อาจเป็นเพราะกินยาคุมเข้าไป และตอนนี้ ก็มีอะไรกับแฟนปกติ แต่ไม่ได้ป้องกัน ไม่ได้หลั่งใน ปล่อยนอกปกติคะ แต่ก็กลัว เลยกินยาคุมฉุกเฉิน ไปอีกคะ กินยาคุมฉุกเฉินคืนวันที่ 18 มกราคมคะ ที่จริง วันที่18 มกคม ตามที่จดไว้ ประจำเดือนต้องมาด้วย นี้เลยมา32 วันแล้วคะ และวันนี้ หลังจากกินยาคุมฉุกเฉินไป ตอนเช้า ปวดท้องมากเลยคะ อยากรู้ ว่าเสี่ยงต่อการตั้งครรภ์ไมคะ

    สวัสดีค่ะ คุณ Nungning Supansa,

                      การทานยาคุมฉุกเฉินนั้น หากได้ทานภายในไม่เกิน 12 ชั่วโมงหลังจากมีเพศสัมพันธ์ ยาคุมฉุกเฉินจะช่วยป้องกันการตั้งครรภ์ได้ประมาณ 95% ซึ่งไม่ใช่ 100% ดังนั้น โอกาสที่จะตั้งครรภ์ย่อมยังมีได้

                      หลังจากทานยาคุมฉุกเฉินไปประมาณ 1 สัปดาห์ บางรายอาจมีเลือดออกจากช่องคลอดได้ โดยออกได้นาน 1-4 วัน ซึ่งเลือดที่ออก ถือเป็นเลือดที่เกิดจากผลของยา ไม่ใช่ประจำเดือนจริงๆ

                      ดังนั้น หากทานยาไปในวันที่ 11 ธ.ค.และมีเลือดออกมาในวันที่ 18 ธ.ค. ก็น่าจะเกิดจากผลข้างเคียงจากยาได้ เนื่องจากประจำเดือนเพิ่งจะมาในวันที่ 2 ธ.ค.

                       สำหรับการที่ประจำเดือนไม่มานั้น อาจกเิดจากการตั้งครรภ์หรือผลของยาคุมฉุกเฉินก็ได้ และหากได้ทานยาคุมฉุกเฉินไปอีกในวันที่ 18 ม.ค. ก็ยิ่งอาจมีผลต่อการทำงานของรังไข่ ทำให้ไม่มีประจำเดือนมาได้

                       ดังนั้น อันดับแรก แนะนำควรลองตรวจหาการตั้งครรภ์ดูก่อนค่ะ หากตรวจไม่พบ ก็น่าจะเป็นผลจากยาคุมฉุกเฉินได้ หรือจากสาเหตุอื่นๆ ก็ได้ เช่น มีความเครียด ทำงานหนัก พักผ่อนน้อย อดนอน อดอาหาร มีน้ำหนักลด หรือมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเร็ว เป็นต้น

                         หากมีเพศสัมพันธ์บ่อยครั้ง ไม่แนะนำให้ทานยาคุมฉุกเฉินเป็นประจำ เพราะจะมีผลต่อการทำงานของรังไข่ ทำให้มีเลือดออกผิดปกติและประจำเดือนมาผิดปกติได้ นอกจากนี้ ประสิทธิภาพก็ถือว่าไม่สูงนัก เมื่อเทียบกับวิธีคุมกำเนิดอื่นๆ เช่น ถุงยางอนามัย (ป้องกันได้ 98% หากใช้อย่างถูกต้อง) ยาเม็ดคุมกำเนิด ยาฉีดคุมกำเนิด  ป้องกันได้มากกว่า 99%