Bromhexine (บรอมเฮกซีน)
Bromhexine (บรอมเฮกซีน) เป็นยาช่วยละลายความเหนียวข้นของเสมหะในระบบทางเดินหายใจให้ลดน้อยลง ทำให้ง่ายต่อการขจัดออกจากร่างกายด้วยการไอ ซึ่งเป็นกลไกธรรมชาติของร่างกายในการขจัดสิ่งสกปรก โดยกลไกการออกฤทธิ์ของยาจะไปเพิ่มน้ำในสารคัดหลั่งจนทำให้ขนของเซลล์ (Cilia) โบกพัดเอาเสมหะและสิ่งสกปรกออกจากระบบทางเดินหายใจ
เกี่ยวกับยา Bromhexine
กลุ่มยา | ยาละลายเสมหะ |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ ยาหาซื้อได้เอง |
สรรพคุณ | ช่วยละลายเสมหะในระบบทางเดินหายใจ บรรเทาอาการไอจากโรคหวัด ไอมีเสมหะ |
กลุ่มผู้ป่วย | เด็กและผู้ใหญ่ |
รูปแบบของยา | ยารับประทาน |
คำเตือนของการใช้ยา Bromhexine
- ควรแจ้งประวัติการแพ้ยาและอาการแพ้อื่น ๆ แก่แพทย์ก่อนการใช้ยา เพราะส่วนผสมบางตัวในยาอาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการแพ้ได้
- ผู้ที่มีประวัติเคยเป็นแผลในกระเพาะอาหาร โรคหอบหืด โรคกาแลคโตซีเมีย โรคตับขั้นรุนแรง หรือมีความบกพร่องของไตควรปรึกษาแพทย์ก่อนการใช้ยาทุกครั้ง
- หญิงมีครรภ์ กำลังวางแผนจะมีบุตร หรืออยู่ในช่วงให้นมบุตร ควรแจ้งแพทย์ล่วงหน้าก่อนการใช้ยา เพราะอาจส่งผลกับทารกในครรภ์
ปริมาณการใช้ยา Bromhexine
ยาละลายเสมหะ
ผู้ใหญ่ ยาเม็ด รับประทานยาในปริมาณ 8-16 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง
เด็ก
- อายุ 2-5 ปี รับประทานยาในปริมาณ 8 มิลลิกรัม โดยแบ่งรับประทานวันละ 2-3 ครั้งต่อวัน
- อายุ 6-11 ปี รับประทานยาในปริมาณ 4-8 มิลลิกรัม โดยแบ่งรับประทานวันละ 3 ครั้ง
- อายุมากกว่า 12 ปี รับประทานยาในปริมาณ 8-16 มิลลิกรัม วันละ 3 ครั้ง
(ยาน้ำความเข้มข้น 4 มิลลิกรัม/5 มิลลิลิตร)
การใช้ยา Bromhexine
ก่อนการใช้ยาทุกครั้งควรแจ้งแพทย์หรือเภสัชกรให้ทราบหากเคยมีประวัติการแพ้ยา มีโรคประจำตัวเดิม หรือกำลังใช้ยา สมุนไพร และวิตามินเสริมตัวใดอยู่ในช่วงนั้น เพื่อป้องกันการเกิดอาการแพ้ยา ซึ่งผู้ป่วยควรใช้ยาภายใต้คำแนะนำของแพทย์ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นเด็ก พร้อมทั้งอ่านฉลากอย่างละเอียดก่อนการใช้ยา ยาชนิดนี้ควรรับประทานพร้อมอาหารหรือหลังอาหาร เพื่อประสิทธิภาพของยาสูงสุด
การเก็บยาควรเก็บในที่มีอุณหภูมิไม่เกิน 30 องศาเซลเซียส ห่างจากความร้อน ความชื้น แสงแดด และเก็บไว้ในที่ที่พ้นจากมือเด็ก รวมไปถึงไม่ควรนำยาที่หมดอายุมารับประทาน เพราะอาจเป็นอันตรายต่อผู้ใช้
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Bromhexine
หลังการรับประทานยาอาจทำให้ผู้ป่วยเกิดความผิดปกติขึ้นได้ในบางราย เช่น คลื่นไส้ อาเจียน เวียนศีรษะ มีผื่น ลมพิษขึ้น อาการคันที่ผิวหนัง ท้องเสีย ปวดท้องส่วนบน เกิดภาวะแองจิโออีดีมา (Angioedema) ที่มีการบวมของชั้นผิวหนังแท้ หรือค่าการทำงานของตับเพิ่มสูงขึ้นชั่วคราว