Abacavir (อะบาคาเวียร์)

Abacavir (อะบาคาเวียร์)

Abacavir (อะบาคาเวียร์) เป็นยาต้านไวรัสในกลุ่มเอ็นอาร์ทีไอ (Nucleoside Reverse Transcriptase Inhibitors: NRTI) ที่แพทย์นำมาใช้ร่วมกับยารักษาการติดเชื้อเอชไอวีชนิดอื่น ออกฤทธิ์ลดจำนวนเชื้อเอชไอวีในร่างกายของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ ซึ่งช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้ดียิ่งขึ้น และยังลดความเสี่ยงในการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากเชื้อเอชไอวีอย่างการติดเชื้ออื่น ๆ และการเกิดมะเร็ง นอกจากนี้ อาจนำมาใช้รักษาอาการอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ด้วย

Abacavir

เกี่ยวกับยา Abacavir

กลุ่มยา ยาต้านไวรัสในกลุ่มเอ็นอาร์ทีไอ
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์
สรรพคุณ ช่วยลดจำนวนเชื้อเอชไอวีในร่างกายของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ
กลุ่มผู้ป่วย ผู้ใหญ่ เด็ก
รูปแบบของยา ยารับประทาน
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ Category C จากการศึกษาในสัตว์พบว่า ทำให้เกิดความผิดปกติต่อตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ แต่ไม่มีการศึกษาในมนุษย์ หรือไม่มีข้อมูลเพียงพอในการศึกษาทดลองในมนุษย์และสัตว์ ควรใช้ยาเมื่อพิจารณาแล้วว่า มีประโยชน์มากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นต่อทารกในครรภ์

คำเตือนในการใช้ยา Abacavir

  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยานี้ หากมีประวัติแพ้ยาหรือแพ้ส่วนประกอบของยาชนิดนี้ รวมถึงหากแพ้ยาและสารอื่น ๆ เพราะยานี้อาจมีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดอาการแพ้ยาหรือทำให้เกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมาได้
  • แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยา วิตามิน หรือสมุนไพรทุกชนิดที่ผู้ป่วยกำลังใช้อยู่ โดยเฉพาะยาเมทาโดนและยารักษาการติดเชื้อเอชไอวีชนิดอื่น ๆ เพราะยาบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับยานี้และก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรือทำให้ยามีประสิทธิภาพลดลงได้
  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากผู้ป่วยเป็นโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง โรคตับอย่างไวรัสตับอักเสบบีและซีหรือตับแข็ง โรคไต มีปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจอย่างการสูบบุหรี่ เป็นโรคเบาหวานหรือมีคอเลสเตอรอลสูง และเคยใช้ยารักษาการติดเชื้อเอชไอวีมาก่อน
  • ผู้ป่วยที่ใช้ยานี้อาจเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจขาดเลือดมากขึ้น จึงควรปรึกษาแพทย์ถึงข้อดีและข้อเสียของยาก่อนรับประทานเสมอ
  • ไม่ควรใช้ยานี้หากผู้ป่วยเป็นโรคตับในระดับปานกลางถึงรุนแรง หรือหากผู้ป่วยมียีน HLA-B*5701 อัลลีล เพราะอาจเสี่ยงต่อการแพ้ยาอย่างรุนแรงได้
  • ไม่ควรใช้ยานี้ร่วมกับยารักษาการติดเชื้อเอชไอวีชนิดอื่นที่มีส่วนประกอบของ Abacavir อยู่แล้ว
  • ปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา เพราะยา Abacavir อาจทำให้ผู้ป่วยเกิดภาวะเลือดเป็นกรดแลคติก (Lactic Acidosis) โดยเฉพาะผู้หญิงหรือผู้ที่ใช้ยารักษาการติดเชื้อเอชไอวีเป็นเวลานาน ๆ
  • ห้ามเริ่มใช้ยา หยุดใช้ยา ข้ามการใช้ยา หรือเปลี่ยนแปลงปริมาณการใช้ยาด้วยตัวเองโดยไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์ เพราะอาจทำให้เชื้อไวรัสเพิ่มจำนวนมากขึ้น การติดเชื้อรักษาได้ยาก และผลข้างเคียงมีอาการแย่ลง
  • ผู้ป่วยอาจต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพขณะใช้ยานี้บ่อยครั้ง เพื่อติดตามอาการและตรวจผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นได้
  • หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ เพราะอาจเพิ่มความเสี่ยงให้ตับถูกทำลายมากขึ้น
  • ห้ามมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ได้ป้องกัน และไม่ใช้มีดโกนหรือแปรงสีฟันร่วมกับผู้อื่น เพราะยานี้ไม่อาจยับยั้งการแพร่เชื้อเอชไอวีไปสู่ผู้อื่นได้
  • ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีที่ตั้งครรภ์ควรปรึกษาแพทย์ถึงข้อดีและข้อเสียก่อนการใช้ยา และใช้ยาตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด เพื่อลดความเสี่ยงในการติดเชื้อจากแม่สู่ลูก
  • ผู้ป่วยติดเชื้อเอชไอวีไม่ควรให้นมบุตรขณะใช้ยานี้ เพราะยาอาจซึมผ่านน้ำนมมารดาและเป็นอันตรายต่อทารกได้

ปริมาณการใช้ยา Abacavir

ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยา ดังนี้

การติดเชื้อเอชไอวี
ตัวอย่างการใช้ยารักษาการติดเชื้อเอชไอวี  

ผู้ใหญ่
รับประทานยาปริมาณ 300 มิลลิกรัม 2 ครั้ง/วัน หรือ 600 มิลลิกรัม 1 ครั้ง/วัน ร่วมกับยาต้านรีโทรไวรัสชนิดอื่น

เด็ก
เด็กอายุ 3 เดือนขึ้นไปที่มีน้ำหนักตัว 14-20 กิโลกรัม รับประทานยาปริมาณ 150 มิลลิกรัม 2 ครั้ง/วัน หรือ 300 มิลลิกรัม 1 ครั้ง/วัน

เด็กอายุ 3 เดือนขึ้นไปที่มีน้ำหนักตัว 20-25 กิโลกรัม รับประทานยาปริมาณ 150 มิลลิกรัม ในตอนเช้า และ 300 มิลลิกรัม ในตอนเย็น หรือ 450 มิลลิกรัม 1 ครั้ง/วัน

เด็กอายุ 3 เดือนขึ้นไปที่มีน้ำหนักตัว 25 กิโลกรัมขึ้นไป รับประทานยาในปริมาณเท่ากันกับผู้ใหญ่  

การใช้ยา Abacavir

  • ใช้ยาตามฉลากและตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด ห้ามใช้ยานี้ในปริมาณมากกว่า น้อยกว่า หรือติดต่อกันนานกว่าที่แพทย์แนะนำ หากมีข้อสงสัยใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนรับประทานยา
  • รับประทานยานี้พร้อมอาหารหรือไม่พร้อมอาหารก็ได้
  • ควรวัดปริมาณยาชนิดน้ำด้วยช้อนหรือถ้วยตวงสำหรับยาโดยเฉพาะก่อนรับประทานยาเสมอ
  • ห้ามให้ผู้อื่นใช้ยานี้ และห้ามใช้ยาของผู้อื่น
  • หากผู้ป่วยลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้ หากใกล้ถึงช่วงเวลาของยารอบถัดไป ให้ข้ามไปรับประทานยาตามเวลาปกติ โดยห้ามเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า และหากลืมรับประทานยาติดต่อกันหลายครั้ง เมื่อกลับมารับประทานยาใหม่ อาจเกิดอาการแพ้ที่เป็นอันตรายและรุนแรงได้
  • หากผู้ป่วยใช้ยาเกินปริมาณที่กำหนด ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจทำให้ผู้ป่วยหายใจลำบากหรือหมดสติได้
  • เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ให้ห่างจากความชื้น ความร้อน และแสงแดด โดยเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง และห้ามแช่แข็งยา รวมถึงควรปรึกษาวิธีการเก็บรักษาและการกำจัดยาที่ถูกต้องจากแพทย์และเภสัชกรด้วย

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Abacavir

โดยปกติ ยา Abacavir อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ เช่น มีปัญหาเรื่องการนอนหลับ ฝันแปลก ๆ ปวดศีรษะ เหนื่อยล้า มีไข้ หนาวสั่น รู้สึกป่วย คลื่นไส้ อาเจียน มีผื่นคัน หรือหากเป็นในเด็กก็มักเกิดอาการคัดจมูก จาม เจ็บคอ และปวดหู เป็นต้น

ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรหยุดใช้ยาและไปพบแพทย์ หากพบอาการแพ้ เช่น

  • มีไข้ มีผื่นคัน
  • คลื่นไส้ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง
  • รู้สึกไม่สบาย เหนื่อยล้าอย่างมาก ปวดเมื่อยตามร่างกาย
  • หายใจไม่อิ่ม
  • ไอ และเจ็บคอ

ส่วนผลข้างเคียงที่รุนแรงและไม่ใช่สัญญาณของอาการแพ้ที่เกิดจากการใช้ยา Abacavir คือ ปวดท้องส่วนบนอย่างรุนแรง คลื่นไส้ อาเจียน เบื่ออาหาร เกิดอาการบวมบริเวณลำตัว ปัสสาวะมีสีเข้ม อุจจาระมีสีซีด ดีซ่าน เหนื่อยล้าผิดปกติ เจ็บหน้าอก มีอาการแน่นและปวดที่ลามไปยังกรามหรือหัวไหล่ เป็นต้น

นอกจากนี้ ยา Abacavir อาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น

  • ภาวะเลือดเป็นกรดแลคติกได้ด้วย ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ ซึ่งผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์ทันที หากพบอาการต่าง ๆ ที่เป็นสัญญาณสำคัญของภาวะนี้ เช่น ปวดกล้ามเนื้อผิดปกติ มีปัญหาเกี่ยวกับการหายใจอย่างหายใจลำบากหรือหายใจถี่ ปวดท้อง อาเจียน อัตราการเต้นของหัวใจผิดปกติ เวียนศีรษะ รู้สึกหนาว อ่อนแรง หรือเหนื่อยล้า เป็นต้น
  • ผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงหลังจากการใช้ยานานเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือน เช่น มีไข้ มีเหงื่อออกตอนกลางคืน ต่อมน้ำเหลืองบวม เป็นเริมที่ริมฝีปาก ไอ หายใจมีเสียงหวีด ท้องเสียและน้ำหนักลด มีปัญหาเรื่องการพูด การกลืน การทรงตัว และการขยับดวงตา รู้สึกเหมือนโดนของแหลมทิ่มแทง ต่อมไทรอยด์โต ประจำเดือนมาไม่ปกติ และหย่อนสมรรถภาพทางเพศ เป็นต้น

แม้ผู้ป่วยบางรายอาจไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ เกิดขึ้นหลังจากใช้ยา อย่างไรก็ตาม หากผู้ป่วยรายใดที่ใช้ยาแล้วพบผลข้างเคียงหรือความผิดปกติอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ ควรไปปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรด้วยเช่นกัน