ความหมาย สังคัง
สังคัง (Tinea Cruris) เป็นโรคติดเชื้อราบนผิวหนังที่ทำให้เกิดผื่นแดงอักเสบ เป็นขุย มีอาการคันตามผิวหนัง มักจะเกิดบริเวณขาหนีบ อวัยวะเพศ ต้นขาด้านใน ก้น หรือผิวหนังที่มีความอับชื้นสูง พบบ่อยในเพศชายวัยรุ่นหรือวัยผู้ใหญ่ แต่ก็สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกเพศทุกวัย โดยการรักษาส่วนใหญ่จะใช้ยาต้านเชื้อราที่หาซื้อได้ตามร้านขายยา
อาการของสังคัง
ผิวหนังบริเวณที่เกิดการติดเชื้อจะเป็นผื่นแดง มีขอบของผื่นนูนชัด อาจเป็นแผ่นหรือเป็นวง บางรายผิวอาจลอก แตก หรือเป็นขุย มักเกิดที่ขาหนีบ ต้นขาด้านใน หรือลามไปยังผิวหนังใกล้เคียง เช่น หน้าท้อง หัวหน่าว และก้น แต่ไม่ค่อยลามไปยังถุงอัณฑะ โดยผื่นจะกระจายตัวเป็นลักษณะวงกลมหรือพระจันทร์เสี้ยว ผู้ป่วยจะรู้สึกคันตลอดเวลาและแสบร้อน สีของผิวหนังอาจเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อาการของโรคจะรุนแรงขึ้นหากออกกำลังกายหรือทำกิจกรรมที่ก่อให้เกิดเหงื่อและความอับชื้น
อย่างไรก็ตาม ลักษณะของผื่นจากโรคสังคังอาจมีลักษณะคล้ายคลึงกับโรคผิวหนังอื่น ๆ เช่น การติดเชื้อราในช่องคลอด โรคสะเก็ดเงิน โรคเซบเดิร์มหรือต่อมไขมันอักเสบ ผื่นผิวหนังอักเสบจากการติดเชื้อแบคทีเรีย (Erythrasma) เป็นต้น หากผื่นดังกล่าวไม่ดีขึ้นภายใน 2 สัปดาห์หรือรักษาด้วยยาต้านเชื้อราตามร้านขายยาแล้วกลับมาเป็นซ้ำในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์ เพื่อตรวจหาสาเหตุอย่างละเอียด
สาเหตุของสังคัง
สังคังเกิดจากการติดเชื้อราในกลุ่มเดอมาโทไฟท์ (Dermatophytes) เช่นเดียวกับโรคกลาก ซึ่งเชื้อเหล่านี้ปกติจะอาศัยอยู่บนผิวหนัง เล็บ และเส้นผมของมนุษย์ โดยไม่เกิดอันตรายใด ๆ แต่เมื่อผิวหนังสัมผัสกับความชื้นสูงบ่อย ๆ เชื้อราจะเจริญเติบโตได้ดีจนทำให้เกิดการติดเชื้อราตามมาได้ โดยเฉพาะผิวบริเวณที่อับชื้นและมีอุณหภูมิสูง อีกทั้งการติดเชื้อราอาจลุกลามไปยังผิวหนังบริเวณใกล้เคียงหรือแพร่กระจายสู่ผู้อื่นได้ง่ายด้วย
โดยสาเหตุหลักของการเกิดสังคังมาจากการสวมใส่เสื้อผ้าเปียกชื้น ไม่สะอาด หรือผิวหนังสัมผัสกับความชื้นเป็นเวลานานจนเชื้อราเติบโตอย่างรวดเร็ว และผู้ป่วยมักติดเชื้อบริเวณขาหนีบ ต้นขาด้านใน ก้น มือหรือเท้า
นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบางประการที่ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อราได้ง่าย ดังนี้
- เป็นนักกีฬาที่มีเหงื่อออกมากและผิวหนังอับชื้นหมักหมมเป็นเวลานาน
- เป็นผู้ชาย หรือผู้ที่อยู่ในช่วงวัยรุ่นและวัยผู้ใหญ่
- ไม่รักษาสุขอนามัยของร่างกาย ไม่ค่อยอาบน้ำหรือเปลี่ยนเสื้อผ้าและชุดชั้นในใหม่ โดยเฉพาะหลังจากเล่นกีฬาหรือทำงานหนักจนมีเหงื่อออกมาก
- มีปัญหาสุขภาพบางอย่าง เช่น ระบบภูมิคุ้มกันผิดปกติ ภาวะเหงื่อออกมาก น้ำหนักเกิน โรคอ้วน โรคเบาหวาน หรือโรคที่ทำให้เกิดเหงื่อและแรงเสียดสีมากกว่าคนปกติ เป็นต้น
- ชอบสวมใส่เสื้อผ้าที่รัดแน่น หรือสวมเสื้อผ้าสกปรกซ้ำหลายครั้ง
- สัมผัสเสื้อผ้าที่มีเชื้อราโดยตรง หรือใช้สิ่งของที่ติดเชื้อราร่วมกับผู้อื่น เช่น ชุดชั้นใน ชุดกีฬา ผ้าเช็ดตัว หวี กรรไกรตัดเล็บ เป็นต้น
การวินิจฉัยสังคัง
แพทย์สามารถวินิจฉัยโรคได้ ดังนี้
- การซักประวัติและตรวจสุขภาพทั่วไป เป็นการคัดกรองโรคขั้นแรก โดยจะมีการสอบถามประวัติทางการแพทย์ของผู้ป่วยและครอบครัว อาการผิดปกติ หรือข้อมูลสุขภาพอื่น ๆ
- การตรวจผิวหนัง แพทย์จะตรวจผิวหนังบริเวณที่เกิดการติดเชื้อ ดูลักษณะของผื่น และตำแหน่งที่ผื่นขึ้นว่าเป็นโรคสังคังหรือไม่
- การตรวจทางห้องปฏิบัติการ กรณีที่รอยผื่นมีลักษณะคล้ายกับโรคผิวหนังชนิดอื่น แพทย์อาจขูดขุยผิวหนังที่เกิดการติดเชื้อไปส่องตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์ หรือใช้วิธีเพาะเลี้ยงเชื้อเพื่อวินิจฉัยผู้ป่วยบางรายว่ารอยผื่นดังกล่าวเกิดจากการติดเชื้อราหรือไม่
การรักษาสังคัง
การรักษาดูแลอาการด้วยตนเอง โรคสังคังส่วนใหญ่รักษาด้วยการทายาต้านเชื้อรา ผู้ป่วยที่มีอาการไม่รุนแรงมักไม่ต้องเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาล แต่สามารถหาซื้อยาทาได้เองจากร้านขายยา และควรดูแลตนเองตามคำแนะนำ ดังนี้
- ทายาต้านเชื้อราตามคำสั่งแพทย์หรือเภสัชกรอย่างสม่ำเสมอ
- ดูแลรักษาความสะอาดบริเวณที่ติดเชื้อ ควรให้ผิวหนังแห้งสนิทอยู่เสมอ ไม่ปล่อยให้ผิวเปียกชื้น
- เปลี่ยนเสื้อผ้าและชุดชั้นในทุกวัน
- เลือกสวมเสื้อผ้าที่มีเนื้อผ้าระบายอากาศได้ดี โปร่งสบาย ไม่รัดแน่นจนเกินไป
- รักษาอาการป่วยติดเชื้อราประเภทอื่น ๆ ให้หายขาด เช่น โรคน้ำกัดเท้า เป็นต้น
สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงหรือไม่หายขาด ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษาอย่างเหมาะสมต่อไป ซึ่งอาการจะค่อย ๆ ดีขึ้นจนหายเป็นปกติ แต่หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1 เดือน ผู้ป่วยควรกลับไปพบแพทย์อีกครั้ง
การรักษาด้วยยา แพทย์อาจแนะนำให้ใช้ยารักษาซึ่งแบ่งออกเป็น 2 ประเภท ดังนี้
- ยาทาผิวหนัง มีอยู่หลายรูปแบบ ทั้งครีม โลชั่น หรือสเปรย์ แพทย์มักแนะนำให้ทายาวันละ 2 ครั้ง ติดต่อกันอย่างน้อย 2-4 สัปดาห์ ผู้ป่วยควรอ่านฉลากยาและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร โดยมีตัวอย่างยาทาผิวหนังเพื่อต้านเชื้อรา เช่น ยาไมโคนาโซล ยาอีโคนาโซล ยาคีโตโคนาโซล ยาโคลไตรมาโซล ยาเทอร์บินาฟีน ยาแนฟทิไฟน์ ยาอันดีไซลินิกแอซิด เป็นต้น
- ยารับประทาน ใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยติดเชื้อราเป็นบริเวณกว้าง เป็นอย่างเรื้อรัง หรือไม่ตอบสนองต่อยาทา โดยต้องให้แพทย์เป็นผู้สั่งจ่ายยาให้ เนื่องจากเป็นยาที่มีผลข้างเคียงและใช้ระยะเวลาในการรักษาแตกต่างกัน โดยมีตัวอย่างยารับประทานเพื่อต้านเชื้อรา เช่น ยาคีโตโคนาโซล ไอทราโคนาโซล และกริซีโอฟูลวิน เป็นต้น นอกจากนี้ หากเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียด้วย แพทย์อาจต้องปรับยาต้านเชื้อราและให้ยาปฏิชีวนะเพิ่มเติม ดังนั้น หากสังเกตพบรอยผื่นมีของเหลวไหลออกมา ผู้ป่วยควรรีบไปพบแพทย์อีกครั้ง เพราะเป็นสัญญาณของการติดเชื้อแบคทีเรียที่ควรได้รับการรักษา
ภาวะแทรกซ้อนของสังคัง
ภาวะแทรกซ้อนของโรคสังคังพบได้ไม่บ่อยนัก แต่อาจเกิดขึ้นได้กับผู้ป่วยบางราย โดยมีอาการ เช่น
- ผื่นอาจแพร่กระจายลุกลามไปยังขาหนีบ ต้นขา และอวัยวะเพศ
- บางกรณีอาจเกิดการติดเชื้อที่ผิวหนังจากการเกาหรือถูผิวหนังจนระคายเคือง ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดฝีหรือเซลล์เนื้อเยื่ออักเสบ (Cellulitis) ตามมา
- หลังจากผื่นทุเลาลง ผิวหนังอาจเกิดรอยดำหรือรอยด่าง ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นอยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง แต่ไม่ค่อยก่อให้เกิดแผลเป็นถาวร
การป้องกันสังคัง
การรักษาสุขอนามัยของร่างกายจะช่วยลดความเสี่ยงไม่ให้เกิดโรคหรือกลับมาเป็นสังคังซ้ำ โดยควรทำตามคำแนะนำ ดังนี้
- รักษาความสะอาดของร่างกาย ควรทำความสะอาดร่างกายเป็นประจำทุกวันและไม่ปล่อยให้ผิวเปียกชื้นเป็นเวลานาน โดยเฉพาะส่วนที่เกิดความอับชื้นได้ง่ายอย่างขาหนีบ อวัยวะเพศ และก้น อาจใช้ผ้าขนหนูสะอาดซับบริเวณต่าง ๆ ให้แห้งหลังอาบน้ำหรือทำความสะอาดผิวหนัง รวมทั้งควรอาบน้ำและเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่หลังออกกำลังกายและทำกิจกรรมต่าง ๆ
- สวมใส่เสื้อผ้าสะอาด เปลี่ยนเสื้อผ้าและชุดชั้นในทุกวัน ไม่ควรใส่เสื้อผ้าสกปรกซ้ำหรือสวมไว้เป็นเวลานาน โดยผู้ที่มีเหงื่อออกหรือทำกิจกรรมที่มีเหงื่อออกมากควรเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ทันที
- ไม่สวมเสื้อผ้ารัดแน่นเกินไป ควรเลือกสวมใส่เสื้อผ้าให้พอดีกับขนาดของร่างกาย มีเนื้อผ้าที่ระบายอากาศได้ดี และไม่รัดแน่นจนเกินไป โดยเฉพาะชุดชั้นในและชุดกีฬา หากเป็นนักกีฬาควรใส่เสื้อผ้าที่ออกแบบเป็นพิเศษสำหรับนักกีฬา เพื่อไม่ให้ผิวหนังโดนเสียดสีจนเกิดการระคายเคืองและเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ง่าย
- ไม่ใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น หลีกเลี่ยงการใช้สิ่งของส่วนตัวร่วมกันหรือไม่ยืมของผู้อื่นมาใช้โดยไม่จำเป็น โดยเฉพาะผ้าขนหนู เสื้อผ้า หรือของใช้อื่น ๆ เพราะอาจเสี่ยงต่อการติดเชื้อรา
- ป้องกันโรคน้ำกัดเท้าหรือรักษาให้หายขาด โรคน้ำกัดเท้าเกิดจากการติดเชื้อราที่นิ้วเท้า ซึ่งมีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายเชื้อไปยังขาหนีบหรือผิวหนังบริเวณใกล้เคียงได้ จึงควรหลีกเลี่ยงการอยู่ในสถานที่สาธารณะที่มีความเปียกชื้นสูงเป็นเวลานานอย่างห้องอาบน้ำในฟิตเนส หรืออาจสวมรองเท้าแตะเพื่อป้องกันการติดเชื้อ สำหรับผู้ที่เป็นโรคน้ำกัดเท้าอยู่แล้วก็ควรรักษาโรคให้หายขาด