เหงื่อออกมาก

ความหมาย เหงื่อออกมาก

เหงื่อออกมาก (Hyperhidrosis) คือ ภาวะที่ร่างกายขับเหงื่อออกทางผิวหนังมากผิดปกติ ซึ่งอาจเกิดจากความบกพร่องของระบบประสาท ระดับฮอร์โมนที่ผิดปกติ การเจ็บป่วยต่าง ๆ หรืออาจเป็นผลข้างเคียงของยาบางชนิด แต่ไม่ได้เกิดจากภาวะที่ทำให้เหงื่อออกมากโดยทั่วไปอย่างอากาศร้อน การออกกำลังกาย ภาวะตื่นเต้นหรือเครียด ซึ่งผู้ป่วยอาจต้องใช้ยาช่วยควบคุมการหลั่งเหงื่อเพื่อรักษาอาการในเบื้องต้น แต่ในรายที่มีอาการรุนแรงอาจต้องเข้ารับการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ

เหงื่อออกมาก

อาการเหงื่อออกมาก

อาการเหงื่อออกมาก แบ่งได้เป็น 2 ลักษณะ ดังนี้

อาการเหงื่อออกมากชนิดปฐมภูมิ หรือเหงื่อออกมากผิดปกติโดยไม่ทราบสาเหตุ ผู้ป่วยมักมีเหงื่อออกมากบริเวณมือ เท้า ศีรษะ ใบหน้า หรือรักแร้ทั้งด้านซ้ายและด้านขวาในปริมาณเท่า ๆ กันต่อเนื่องอย่างน้อย 6 เดือนขึ้นไป ผู้ป่วยอาจมีภาวะนี้อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง ซึ่งอาจเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ โดยมักมีเหงื่อออกในช่วงกลางวันแต่จะไม่มีเหงื่อออกขณะนอนหลับ

อาการเหงื่อออกมากชนิดทุติยภูมิ หรือเหงื่อออกมากผิดปกติโดยทราบสาเหตุ ผู้ป่วยอาจมีเหงื่อออกมากผิดปกติเป็นบางแห่งอย่างฉับพลันหรือต่อเนื่อง เช่น รักแร้ มือ เท้า หรือทั่วร่างกาย ซึ่งเหงื่ออาจออกช่วงเวลาใดก็ได้ ทั้งเวลากลางวัน กลางคืน หรือทั้งกลางวันและกลางคืน และอาจมีอาการอื่น ๆ เกิดขึ้นร่วมด้วย ดังนี้

  • ปวดศีรษะ มีไข้
  • คลื่นไส้ น้ำหนักลด
  • หายใจไม่อิ่ม หัวใจเต้นเร็ว เจ็บหรือแน่นหน้าอก  
  • ซึมเศร้า หลีกหนีสังคม

สาเหตุของเหงื่อออกมาก

โดยปกติ การออกกำลังกาย อากาศที่ร้อนอบอ้าว รวมถึงภาวะวิตกกังวลหรือภาวะเครียด มักเป็นสาเหตุให้ร่างกายขับเหงื่อมากขึ้น แต่ภาวะเหงื่อออกมากจนผิดสังเกตเป็นความผิดปกติที่อาจเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ ซึ่งแยกตามประเภท ดังนี้

  • เหงื่อออกมากชนิดปฐมภูมิ เหงื่อออกมากชนิดนี้เกิดขึ้นโดยไม่ทราบสาเหตุ แต่อาจเกิดจากพันธุกรรมได้ โดยผู้ที่มีเหงื่อออกมากมักมีประวัติคนในครอบครัวเป็นภาวะนี้เช่นเดียวกัน และมักพบในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี ส่วนปัจจัยร่วมที่ทำให้อาการนี้แย่ลง ได้แก่ การออกกำลังกาย ภาวะเครียด หรือความวิตกกังวล
  • เหงื่อออกมากชนิดทุติยภูมิ เป็นชนิดที่พบได้ไม่บ่อยนัก ซึ่งอาจมีสาเหตุจากโรคหรือภาวะอื่น ๆ ได้แก่ การตั้งครรภ์ อ้วน น้ำตาลในเลือดต่ำ เบาหวาน หมดประจำเดือนซึ่งมักเกิดขึ้นร่วมกับอาการร้อนวูบวาบ มะเร็งบางชนิดอย่างมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หัวใจขาดเลือด หลอดเลือดสมองอุดตัน โรคปอด ต่อมหมวกไตทำงานผิดปกติ ไทรอยด์เป็นพิษ ข้ออักเสบรูมาตอยด์ เก๊าท์ พาร์กินสัน และโรคติดเชื้อ เช่น เอดส์ วัณโรค เป็นต้น หรืออาจเกิดจากผลข้างเคียงของยาบางชนิด เช่น เดซิพรามีน นอร์ทริปไทลีน และโพรทริปไทลีน เป็นต้น

การวินิจฉัยเหงื่อออกมาก

ผู้ป่วยที่มีอาการเหงื่อออกมากผิดปกติอาจไปพบแพทย์เฉพาะทางด้านผิวหนังซึ่งมักวินิจฉัยภาวะนี้จากการซักประวัติของผู้ป่วยร่วมกับการตรวจร่างกาย โดยผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงบริเวณที่มีเหงื่อออกมาก ปริมาณของเหงื่อ วิธีที่เคยลองรักษาด้วยตนเอง ปัจจัยกระตุ้นอย่างอารมณ์ และอาการผิดปกติอื่น ๆ ที่เกิดขึ้น เช่น เหงื่อออกแม้อากาศเย็นหรือในขณะนอนหลับ คันตามผิวหนัง มีไข้ น้ำหนักลดโดยไม่มีสาเหตุ เจ็บหน้าอก ใจสั่น หายใจไม่อิ่ม มีปัญหาความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง เป็นต้น

ในกรณีที่แพทย์สงสัยว่าผู้ป่วยมีเหงื่อออกมากชนิดทุติยภูมิ แพทย์อาจให้ผู้ป่วยตรวจเลือด ตรวจปัสสาวะ และตรวจเฉพาะทางอื่น ๆ เพื่อหาสาเหตุของอาการป่วย เช่น ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ เบาหวาน ไทรอยด์เป็นพิษ โรคหัวใจ เป็นต้น

นอกจากนั้น แพทย์อาจทดสอบด้วยวิธีการอื่น ๆ แต่ยังไม่เป็นที่นิยมนัก เช่น ใช้แป้งกับไอโอดีนทดสอบบนผิวหนังบริเวณที่มีเหงื่อออกมาก ใช้กระดาษชนิดพิเศษซับเหงื่อบนผิวหนัง วัดค่าการนำไฟฟ้าบนผิวหนัง และให้ผู้ป่วยนั่งในห้องอบหรือตู้อบซาวน่า เป็นต้น  การรักษาเหงื่อออกมาก

ภาวะเหงื่อออกมากชนิดที่ทราบสาเหตุนั้น ผู้ป่วยต้องรักษาโรคที่เป็นสาเหตุของอาการป่วย รวมทั้งอาจปรับเปลี่ยนยาในกรณีที่มีเหงื่อออกมากจากผลข้างเคียงของยา

ส่วนการรักษาเหงื่อออกมากชนิดที่หาสาเหตุไม่พบ มักต้องรักษาหลายวิธีร่วมกันเพื่อช่วยลดความรุนแรงของภาวะนี้ โดยผู้ป่วยควรเริ่มรักษาอาการด้วยตนเองก่อน เช่น อาบน้ำและรักษาความสะอาดร่างกายเป็นประจำ สวมใส่เสื้อผ้าให้เหมาะสมกับกิจกรรมบางประเภทเพื่อให้เหงื่อระบายได้ดี ใช้ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดเหงื่อและระงับกลิ่นกาย เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม หากวิธีข้างต้นไม่ได้ผล ผู้ป่วยควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาด้วยยาหรือวิธีต่าง ๆ ดังนี้

  • การใช้ผลิตภัณฑ์ระงับเหงื่อ ผู้ป่วยต้องทายาก่อนนอนในบริเวณที่เหงื่อออกมากแล้วล้างออกตอนเช้า โดยต้องระวังไม่ให้ยาเข้าตา หากผู้ป่วยรู้สึกระคายเคืองที่ผิวหนัง อาจต้องใช้ยาไฮโดรคอร์ติโซนทาเพื่อช่วยบรรเทาอาการด้วย
  • การใช้ยา อาจใช้ยากลุ่มแอนตี้โคลิเนอร์จิกโดยให้ผู้ป่วยทาครีมที่มีส่วนผสมของไกลโคไพโรเลตเพื่อช่วยลดอาการเหงื่อออกมากบริเวณศีรษะและใบหน้า หรือแพทย์อาจให้ผู้ป่วยรับประทานยากลุ่มแอนตี้โคลิเนอร์จิกซึ่งต้องรับประทานติดต่อกันอย่างน้อย 2 สัปดาห์ ซึ่งยากลุ่มนี้ออกฤทธิ์ต้านแอซิติลโคลีนที่กระตุ้นต่อมเหงื่อและช่วยให้เหงื่อออกน้อยลง อย่างไรก็ตาม ยานี้ได้ผลดีในผู้ป่วยบางราย และอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ปากแห้ง ตาแห้ง เวียนศีรษะ ท้องผูก ใจสั่น กระเพาะปัสสาวะทำงานผิดปกติ เป็นต้น หรือแพทย์อาจให้ผู้ป่วยรับประทานยาต้านเศร้าเพื่อลดอาการเหงื่อออกมากรวมทั้งช่วยลดความวิตกกังวลซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้มีเหงื่อออกมากขึ้น
  • การฉีดโบทอกซ์ แพทย์อาจฉีดโบทอกซ์หรือสารโบทูลินั่ม ท็อกซิน เอ เพื่อกดการทำงานของเส้นประสาทที่ควบคุมการหลั่งเหงื่อ ก่อนฉีดต้องประคบน้ำแข็งหรือฉีดยาชา และแพทย์ต้องฉีดยาซ้ำ ๆ ในบริเวณที่มีอาการ โดยเฉพาะรักแร้ มือ หรือเท้า ซึ่งฤทธิ์ยาจะอยู่ได้นานประมาณ 6-12 เดือน ทั้งนี้ ผู้ป่วยอาจรู้สึกเจ็บและมีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงชั่วคราวในบริเวณที่รักษา
  • การรักษาด้วยคลื่นไมโครเวฟ เป็นการใช้คลื่นไมโครเวฟทำลายต่อมเหงื่อโดยใช้เวลาในการรักษา 20-30 นาที/ครั้ง แต่ละครั้งห่างกัน 3 เดือน แต่วิธีนี้อาจทำให้การรับรู้ของผิวหนังเปลี่ยนไปและรู้สึกไม่สบายผิว อีกทั้งยังเป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายสูงและไม่เป็นที่นิยม
  • การรักษาด้วยไอออนโตฟอรีซีส เป็นวิธีที่ใช้กระแสไฟฟ้าพลังงานต่ำช่วยส่งผ่านน้ำหรือยาเข้าสู่ผิวหนังบริเวณต่อมเหงื่อของรักแร้ มือ หรือเท้าที่มีอาการผิดปกติโดยตรง ซึ่งส่งผลให้ต่อมเหงื่อบริเวณนั้นทำงานลดลง ผู้ป่วยอาจต้องเข้ารับการรักษาอย่างน้อย 2-3 ครั้งจึงจะเห็นผล และอาจต้องทำซ้ำทุกเดือนเพื่อให้ได้ผลอย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม หญิงมีครรภ์ ผู้ที่ใส่เครื่องควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ ผู้ที่ใส่อวัยวะเทียมที่มีโลหะเป็นส่วนประกอบ รวมทั้งผู้ที่เป็นโรคหัวใจหรือลมชัก ไม่ควรเข้ารับการรักษาด้วยวิธีนี้ เพราะกระแสไฟฟ้าอาจก่ออันตรายได้
  • การกำจัดต่อมเหงื่อด้วยเครื่องดูดสุญญากาศ ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ และมีเหงื่อออกมากโดยเฉพาะรักแร้ อาจใช้เครื่องดูดสุญญากาศไฟฟ้าช่วยกำจัดต่อมเหงื่อบริเวณรักแร้
  • การผ่าตัดหรือการจี้ปมประสาท หากรักษาด้วยวิธีอื่น ๆ ไม่ได้ผล แพทย์อาจผ่าตัดจี้ทำลายปมประสาทบริเวณรักแร้ที่กระตุ้นการหลั่งเหงื่อ หรือผ่าตัดจี้ปมประสาทไขสันหลังที่กระตุ้นการหลั่งเหงื่อบริเวณมือ แม้เป็นวิธีที่ได้ผลดีแต่มักทิ้งรอยแผลเป็นไว้และอาจทำให้ผู้ป่วยมีเหงื่อออกมากบริเวณอื่น ๆ อย่างตามหน้าอกและใบหน้าได้ ส่วนผู้ป่วยที่มีเหงื่อออกมากบริเวณศีรษะและใบหน้าไม่สามารถเข้ารับการรักษาด้วยวิธีนี้ได้

ภาวะแทรกซ้อนของเหงื่อออกมาก

เหงื่อออกมากอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยภาวะนี้อาจส่งผลเสียต่อจิตใจ เช่น รู้สึกอับอาย มีพฤติกรรมหลีกหนีสังคม มีปัญหาความสัมพันธ์กับคนรอบข้าง หรือกระทบต่อหน้าที่การงาน เป็นต้น

ส่วนภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้นทางร่างกาย มีดังนี้

  • เกิดการหมักหมมของเหงื่อไคลจนเป็นเหตุให้เกิดโรคอื่น ๆ ตามมาได้ แต่มักไม่รุนแรง
  • ผิวหนังมีกลิ่นอับซึ่งเกิดจากเหงื่อปะปนกับสารที่เชื้อแบคทีเรียบนผิวหนังสร้างขึ้น โดยเฉพาะบริเวณรักแร้ อวัยวะเพศ หรือเท้า
  • มีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคผิวหนังติดเชื้อหากผิวหนังถูกทำลาย เช่น หูดจากเชื้อไวรัส สังคังจากเชื้อราบริเวณขาหนีบ หรือติดเชื้อราที่เท้าโดยเฉพาะบริเวณนิ้วเท้า เป็นต้น
  • แม้เข้ารับการรักษาจนมีอาการดีขึ้นแล้วก็อาจมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก

การป้องกันเหงื่อออกมาก

แม้ไม่มีวิธีป้องกันภาวะเหงื่อออกมาก แต่อาจมีวิธีที่ช่วยให้เหงื่อออกน้อยลง และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากเหงื่อออกมาก ดังนี้

  • อาบน้ำและฟอกสบู่ให้สะอาดเป็นประจำทุกวัน แล้วเช็ดตัวให้แห้งโดยเฉพาะบริเวณรักแร้และนิ้วเท้า เพื่อช่วยลดการสะสมของแบคทีเรีย
  • ใช้ผลิตภัณฑ์ระงับกลิ่นกายที่ผสมสารลดเหงื่อจำพวกอะลูมิเนียมคลอไรด์ทั้งในระหว่างวันและก่อนนอน เพื่อช่วยปิดต่อมเหงื่อบริเวณรักแร้ มือ เท้า หรือศีรษะชั่วคราว
  • ทาผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของกรดแทนนิกในบริเวณที่เหงื่อออกมากเพื่อช่วยลดเหงื่อ
  • สวมใส่เสื้อผ้าที่ผลิตจากใยธรรมชาติซึ่งระบายเหงื่อได้ดี ใส่เสื้อผ้าที่ออกแบบมาให้ช่วยระบายเหงื่อเมื่อออกกำลังกาย และใช้ผ้าคอยซับเหงื่อเพื่อไม่ให้เสื้อผ้าเปียกชุ่ม
  • สวมใส่รองเท้าที่ผลิตจากหนังสัตว์ซึ่งระบายเหงื่อได้ดีและช่วยป้องกันเท้าเหม็นได้ รวมทั้งควรถอดรองเท้าทุกครั้งเมื่อมีโอกาส เพื่อให้ไม่เกิดการหมักหมม
  • หลีกเลี่ยงเครื่องดื่มร้อนอย่างชาและกาแฟ รวมทั้งแอลกอฮอล์และอาหารรสเผ็ด เพราะอาหารเหล่านี้มีฤทธิ์กระตุ้นการหลั่งเหงื่อ
  • เล่นโยคะหรือฝึกสมาธิให้ร่างกายและจิตใจผ่อนคลาย รวมถึงช่วยลดความเครียดซึ่งเป็นปัจจัยกระตุ้นให้หลั่งเหงื่อ และอาจฝึกไบโอฟีดแบ็คซึ่งเป็นการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าช่วยกระตุ้นกระบวนการทำงานของร่างกายภายใต้การดูแลของเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญ
  • ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์ด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ให้ครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม โดยจำกัดปริมาณอาหารจำพวกแป้ง น้ำตาล ไขมัน อาหารรสหวานและเค็ม และเพิ่มอาหารที่มีกากใยสูงอย่างผักและผลไม้ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายตามสมควรอย่างสม่ำเสมอ