ความหมาย มะเร็งผิวหนัง
มะเร็งผิวหนัง คือโรคมะเร็งที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหนัง อันเป็นผลมาจากความผิดปกติในการเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์ผิวหนังจนกลายเป็นเซลล์มะเร็ง ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้กับผิวหนังทุกส่วนของร่างกาย และอาจแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อข้างเคียงหรืออวัยวะส่วนอื่น ๆ ได้ หากระยะของโรครุนแรงขึ้น
โดยมะเร็งผิวหนังแบ่งออกได้เป็น 3 ชนิดใหญ่ ๆ ดังนี้
มะเร็งผิวหนังชนิดเบซัลเซลล์ (Basal Cell Carcinoma-BCC)
เป็นมะเร็งผิวหนังที่พบได้บ่อยที่สุด โดยเฉพาะในชาวตะวันตกที่มีผิวขาว มักเกิดขึ้นบริเวณผิวหนังที่โดนแสงแดดบ่อย ๆ เช่น ใบหน้า และลำคอ เป็นต้น โดยผิวหนังของผู้ป่วยอาจมีลักษณะเป็นตุ่มมันวาว หรืออาจมีแผลเรียบแบนสีแดงหรือสีน้ำตาลเกิดขึ้น
มะเร็งผิวหนังชนิดสะความัสเซลล์ (Squamous Cell Carcinoma-SCC)
เป็นมะเร็งผิวหนังที่พบได้บ่อยเป็นอันดับ 2 ของมะเร็งทั้งหมด มักเกิดขึ้นบริเวณผิวหนังที่สัมผัสกับแสงแดดเป็นประจำ เช่น ใบหน้า หู และมือ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม อาจเกิดอาการขึ้นกับผิวหนังบริเวณที่ไม่โดนแสงแดดได้เช่นกัน โดยเฉพาะในผู้ที่มีผิวสีคล้ำ ซึ่งผู้ป่วยมะเร็งชนิดนี้อาจมีตุ่มเนื้อสีแดง หรือแผลเรียบแบนที่มีขุยสะเก็ดร่วมด้วย
มะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา (Melanoma)
เป็นมะเร็งผิวหนังที่พบได้น้อย แต่มีความรุนแรงมาก สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกส่วนของร่างกาย แต่มักพบบริเวณใบหน้า ลำตัวของผู้ป่วยเพศชาย และขาส่วนล่างของผู้ป่วยเพศหญิง โดยมีความผิดปกติที่สังเกตเห็นได้ เช่น มีตุ่มหรือก้อนคล้ายไฝสีดำเข้ม ขอบไฝไม่เรียบ ไฝมีขนาดหรือสีที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม และอาจมีเลือดออกจากไฝ เป็นต้น
ทั้งนี้ จากข้อมูลขององค์การอนามัยโลก (WHO) พบว่าผู้ป่วยโรคมะเร็งผิวหนังยังมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยในแต่ละปีมีผู้ป่วยโรคมะเร็งผิวหนังชนิดที่ไม่ใช่เมลาโนมาประมาณ 2-3 ล้านรายทั่วโลก และมีผู้ป่วยโรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมาประมาณ 132,000 ราย อย่างไรก็ตาม โรคมะเร็งผิวหนังเป็นโรคที่พบได้น้อยในประเทศไทย ซึ่งจากสถิติในปี 2557 สถาบันมะเร็งแห่งชาติได้บันทึกข้อมูลผู้ป่วยโรคมะเร็งผิวหนังแล้วพบว่า มีผู้ป่วยเพศชายป่วยเป็นมะเร็งผิวหนังเมลาโนมา 215 ราย มะเร็งผิวหนังอื่น ๆ 1,347 ราย ในขณะที่มีผู้ป่วยเพศหญิงป่วยเป็นมะเร็งผิวหนังเมลาโนมา 238 ราย และมะเร็งผิวหนังอื่น ๆ 1,722 ราย
อาการของโรคมะเร็งผิวหนัง
โรคมะเร็งผิวหนังมีอาการที่เกิดขึ้นบริเวณผิวหนัง สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า และสามารถเกิดได้ทั่วร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณ แขน ขา มือ ใบหน้า หรือบริเวณที่ต้องถูกแสงแดดเป็นเวลานาน ๆ ทั้งนี้อาการของมะเร็งผิวหนังจะแตกต่างกันตามชนิดของมะเร็งผิวหนังดังนี้
มะเร็งผิวหนังชนิดเบซัลเซลล์ อาการที่เห็นได้ชัดคือจะมีตุ่มเนื้อสีชมพู แดง มีลักษณะผิวเรียบมัน และมักจะมีเส้นเลือดฝอยเล็ก ๆ กระจายอยู่บริเวณตุ่มเนื้อ บางครั้งก็มีลักษณะเป็นสะเก็ดหรือเป็นขุย ตุ่มเนื้อจากมะเร็งชนิดนี้จะโตช้า และจะโตไปเรื่อย ๆ จนอาจแผลแตกในที่สุด ทำให้มีเลือดออกและกลายเป็นแผลเรื้อรัง
มะเร็งผิวหนังชนิดสะความัสเซลล์ อาการของมะเร็งชนิดนี้จะเริ่มต้นจากตุ่มเนื้อสีชมพู หรือแดง และด้านบนอาจมีลักษณะเป็นขุย หรือตกสะเก็ด เมื่อสัมผัสบริเวณแผลจะรู้สึกแข็ง เลือดออกง่าย แผลจะค่อย ๆ ขยายขนาดไปเรื่อย ๆ และกลายเป็นแผลเรื้อรังในที่สุด
มะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมา เนื้อร้ายที่เกิดขึ้นบนผิวหนังของมะเร็งชนิดนี้ เริ้มต้นจะมีลักษณะคล้ายกับไฝหรือขี้แมลงวัน แต่จะโตเร็ว ขอบเขตไม่เรียบและอาจมีสีไม่สม่ำเสมอ ทั้งนี้ที่บริเวณแผลอาจตกสะเก็ดหรือมีอาการเลือดออกด้วยเช่นกัน
สาเหตุของโรคมะเร็งผิวหนัง
สาเหตุของโรคมะเร็งผิวหนัง คือการกลายพันธุ์ของดีเอ็นเอภายในเซลล์ผิวหนัง ทำให้เกิดการเจริญเติบโตและการแบ่งตัวของเซลล์ที่ผิดปกติ ส่วนสาเหตุที่ทำให้เซลล์ผิวหนังเกิดความผิดปกตินั้น ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากรังสีอัลตราไวโอเลตในแสงแดด หรือแสงสังเคราะห์ที่นิยมใช้ในเตียงอาบแดด เป็นต้น ทั้งนี้แสงแดดไม่ใช่สาเหตุเดียวที่ทำให้เกิดโรคมะเร็งเท่านั้น เพราะยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ก่อให้เกิดมะเร็งได้อีกด้วย อาทิ การสัมผัสกับสารพิษอันตรายเป็นเวลานาน ๆ หรือระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอ โดยปัจจัยเสี่ยงของโรคมะเร็งผิวหนังมี ดังนี้
- มีผิวขาวซีด เนื่องจากผิวหนังมีเม็ดสีน้อยกว่า
- อยู่กลางแดดเป็นเวลานานจนเกินไป โดยไม่ใช้อุปกรณ์ป้องกัน หรือทาครีมกันแดด
- อาศัยอยู่ในแถบที่มีแสงแดดจัด หรืออยู่ในที่สูง
- มีไฝหรือขี้แมลงวันมากผิดปกติ
- ในครอบครัวมีประวัติว่าเคยเป็นมะเร็งผิวหนัง หรือผู้ป่วยเคยเป็นมะเร็งผิวหนังมาก่อน
- มีภูมิคุ้มกันอ่อนแอ เป็นผู้ติดเชื้อ HIV
- ได้รับรังสีที่เป็นอันตรายติดต่อกันนาน ๆ
- มีประวัติการถูกสารเคมี เช่น สารหนู หรือสัมผัสกับสารเคมีเป็นเวลานาน ๆ
การวินิจฉัยโรคมะเร็งผิวหนัง
การตรวจเบื้องต้นด้วยตนเอง
การวินิจฉัยโรคมะเร็งผิวหนังด้วยตัวเองสามารถทำได้ด้วยการสังเกตความผิดปกติของผิวหนัง หากมีตุ่มเนื้อที่ดูผิดปกติ หรือมีแผลเรื้อรังบริเวณผิวหนังที่มักจะโดนแดดบ่อย ๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจให้ชัดเจน
การวินิจฉัยโดยแพทย์
แพทย์จะทำการวินิจฉัยจากภายนอกด้วยการสังเกตความผิดปกติของผิวหนังอีกครั้ง หากบริเวณที่ผิดปกตินั้นมีความน่าสงสัยว่าจะเป็นมะเร็ง แพทย์จะตัดชิ้นเนื้อนำตัวอย่างผิวหนังบริเวณที่ต้องสงสัยไปทำการตรวจด้วยวิธีทางพยาธิวิทยา ซึ่งเป็นวิธีที่มีความแม่นยำสูง ทั้งนี้ หากแพทย์พบว่าตัวอย่างผิวหนังที่ตัดไปตรวจนั้นเป็นเนื้อร้าย แพทย์อาจส่งตรวจเอกซเรย์ เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ หรือตรวจเลือดเพิ่มเติม เพื่อวิเคราะห์ว่ามะเร็งผิวหนังที่เป็นนั้นอยู่ในระยะใด ทั้งนี้ในการแบ่งระยะของโรคมะเร็งผิวหนังจะคล้ายคลึงกับมะเร็งชนิดอื่น ๆ ซึ่งจะมีการแบ่งออกเป็น 4 ระยะ โดยแพทย์จะทำการวิเคราะห์ขนาดของก้อนเนื้อมะเร็ง และตรวจวินิจฉัยว่ามะเร็งมีการแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองหรืออวัยวะอื่น ๆ หรือไม่ แล้วจึงจะระบุได้ว่าผู้ป่วยเป็นมะเร็งในระยะใด
นอกจากระยะของมะเร็งที่กล่าวไปข้างต้น ก็ยังมีอาการทางผิวหนังบางอย่างที่หากตรวจพบแล้ว แพทย์อาจจัดให้ผู้ป่วยอยู่ในระยะก่อนมะเร็ง (Precancer) และต้องทำการติดตามอาการอย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาการเหล่านี้มีความเสี่ยงที่อาจกลายเป็นมะเร็งผิวหนังได้ โดยอาการทางผิวหนังที่ควรระมัดระวังมีดังนี้
- เกิดแผลตกสะเก็ดจากการโดนแสงแดดติดต่อกันบ่อย ๆ เป็นเวลานาน
- ตุ่มนูน ที่มีลักษณะหนาแข็ง โดยผิวหนังบริเวณฐานของตุ่มจะแดง
- มีแผลเรื้อรังที่รักษาไม่หาย
- มีไฝหรือขี้แมลงวันรูปร่างผิดปกติ มีขนาดใหญ่กว่าปกติ ขยายขนาดเร็ว หรือมีสีที่แตกต่างจากทั่วไป
การรักษาโรคมะเร็งผิวหนัง
วิธีการรักษาโรคมะเร็งผิวหนังจะแบ่งไปตามระยะของมะเร็งที่ตรวจพบ และชนิดของมะเร็งผิวหนังที่เป็น เนื่องจากวิธีการรักษาแต่ละชนิดจะให้ผลกับการรักษามะเร็งแต่ละชนิดไม่เหมือนกัน โดยวิธีรักษามะเร็งที่นิยมใช้ในปัจจุบันมีดังนี้
การผ่าตัดผิวหนัง
เป็นการผ่าตัดแบบมาตรฐานโดยจะทำการผ่าตัดก้อนเนื้อมะเร็งที่อยู่บริเวณผิวหนังและเนื้อเยื่อโดยรอบออก หากบริเวณที่ผ่าตัดออกมีขนาดใหญ่ อาจนำผิวหนังจากส่วนอื่นมาปิดบริเวณแผลเพื่อทำให้แผลหายเร็วขึ้น และจะทำให้รอยแผลเป็นน้อยลงได้
การขูดออกและจี้ด้วยไฟฟ้า
เหมาะกับผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังที่มีขนาดของก้อนเนื้อมะเร็งค่อนข้างเล็ก โดยแพทย์จะทำใช้อุปกรณ์พิเศษที่มีลักษณะคล้ายกับช้อนขนาดเล็กคว้านบริเวณที่เป็นเนื้อร้ายออก จากนั้นจะนำกระแสไฟฟ้ามาจี้ที่เนื้อเยื่อโดยรอบ วิธีนี้อาจต้องทำติดต่อกัน 2 - 3 ครั้ง จึงจะสามารถนำเนื้อร้ายออกได้หมด
การรักษาด้วยการจี้เย็น
วิธีนี้ส่วนใหญ่แล้วมักจะใช้กับมะเร็งผิวหนังในระยะเริ่มต้น โดยจะนำไนโตรเจนเหลวมาจี้ผิวหนังบริเวณที่เป็นมะเร็ง ผิวหนังบริเวณนั้นจะตกสะเก็ด หลังจากนั้นประมาณ 1 เดือนสะเก็ดเหล่านั้นจะหลุดออก วิธีการรักษานี้อาจจะทำให้เกิดแผลเป็นสีขาวเล็ก ๆ หลงเหลือไว้ที่ผิวหนัง
การรักษาด้วยวิธี MMS (Mohs Micrographic Surgery)
การรักษาวิธีนี้เป็นวิธีการการผ่าตัดที่มักใช้เมื่อมะเร็งเกิดขึ้นในบริเวณที่ไม่สามารถใช้วิธีรักษาแบบอื่นได้ หรือมะเร็งที่เกิดขึ้นมีความเสี่ยงต่อการแพร่กระจายสูง โดยจะค่อย ๆ ตัดเนื้อมะเร็งออกไปเป็นชั้นบาง ๆ แล้วจี้ด้วยไฟฟ้า จากนั้นจะนำชิ้นเนื้อดังกล่าวไปตรวจว่ายังมีชิ้นเชื้อมะเร็งอยู่หรือไม่ ซึ่งจะต้องทำซ้ำหลายครั้งเพื่อให้มั่นใจว่าตรวจไม่พบแล้วจริง ๆ
การทำเคมีบำบัด
แพทย์อาจใช้เคมีบำบัดรักษาผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังที่ไม่ใช่เมลาโนมาก็ต่อเมื่อพบเนื้อร้ายที่บริเวณผิวหนังชั้นบน โดยมีวิธีการ คือ ใช้ยาทาที่มีส่วนผสมของยาเคมีบำบัดทาบริเวณที่เป็นมะเร็ง หรืออาจให้ยาเคมีบำบัดทางหลอดเลือด เพื่อรักษามะเร็งผิวหนังที่มีการแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่น ๆ
การฉายแสงโฟโตไดนามิก
เป็นการใช้แสงเลเซอร์ความเข้มสูงฉายลงไปบริเวณที่เป็นมะเร็ง โดยก่อนฉายแสงจะต้องทาตัวยาลงไปก่อน วิธีนี้เป็นการรักษาของมะเร็งผิวหนังชนิดเบซัลเซลล์ จะอาจก่อให้เกิดแผลเป็นและรอยไหม้บริเวณผิวหนังได้
การฉายรังสี
เป็นการใช้รังสีเพื่อกำจัดเซลล์มะเร็ง โดยวิธีนี้จะใช้รักษามะเร็งผิวหนังในกรณีที่ขนาดของมะเร็งมีขนาดใหญ่ ไม่สามารถผ่าตัดออกหมด หรืออยู่ในบริเวณที่ไม่สามารถผ่าตัดได้ บางครั้งก็ใช้กับผู้ป่วยเพื่อป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นซ้ำ
ทั้งนี้ การรักษาผู้ป่วยโรคมะเร็งผิวหนังชนิดเมลาโนมาอาจจำเป็นต้องอาศัยแพทย์จากหลายสาขาร่วมกันดูแลเป็นทีม เช่น แพทย์ผิวหนัง ศัลยแพทย์ แพทย์ด้านมะเร็งวิทยา นักพยาธิวิทยา และพยาบาลที่เชี่ยวชาญ เป็นต้น โดยทีมแพทย์จะพิจารณาจากหลายปัจจัยประกอบการเลือกวิธีรักษาที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละราย ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดของมะเร็ง ระยะของมะเร็ง และสุขภาพโดยรวมของผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยสามารถมีส่วนร่วมในการตัดสินใจเลือกวิธีการรักษาได้ โดยการรักษามะเร็งชนิดนี้อาจประกอบไปด้วยการผ่าตัดนำเนื้อร้ายออก การผ่าตัดเลาะต่อมน้ำเหลือง การฉายรังสี การทำเคมีบำบัด การรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด การรักษาด้วยยามุ่งเป้า และการใช้ยายับยั้งมะเร็งที่ไม่สามารถรักษาได้ด้วยวิธีผ่าตัด
ภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งผิวหนัง
เช่นเดียวกับมะเร็งชนิดอื่น มะเร็งผิวหนังอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนได้ อย่างการกลับมาเป็นมะเร็งผิวหนังในตำแหน่งเดิมซ้ำอีกครั้งหรือเป็นใกล้เคียงบริเวณเดิม และการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งไปยังอวัยวะอื่น ๆ เช่น กล้ามเนื้อ หรือส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย เป็นต้น ซึ่งการรักษามะเร็งที่กลับมาเป็นซ้ำนั้น แพทย์จะดูจากหลายปัจจัยประกอบกัน ทั้งชนิดของมะเร็ง บริเวณที่เกิดขึ้น ขนาดของเซลล์มะเร็ง สุขภาพของผู้ป่วย และประวัติการรักษามะเร็งผิวหนังที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ นอกจากนี้ มะเร็งผิวหนังอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้หากแพร่กระจายมากจนไม่สามารถควบคุมได้
การป้องกันโรคมะเร็งผิวหนัง
การป้องกันความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งผิวหนัง มีดังนี้
- หมั่นสังเกตผิวหนังของตนเองอยู่เสมอ หากพบว่ามีความผิดปกติหรือมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
- สวมใส่เสื้อผ้าที่มิดชิดทุกครั้ง หากต้องออกไปอยู่กลางแดด สวมหมวกที่มีปีกกว้างเพื่อป้องกันผิวหนังบริเวณศีรษะ ใบหน้า และคอ หรือใช้ร่มที่สามารถป้องกันรังสียูวีได้
- ทาครีมกันแดดเป็นประจำทุกวัน โดยควรเลือกครีมกันแดดที่มีค่า SPF ตั้งแต่ 15 ขึ้นไป หากมีผิวขาว ควรใช้ครีมกันแดดที่มีค่า SPF 30 ขึ้นไปจึงจะเหมาะสม และควรทาครีมกันแดดก่อนออกแดดอย่างน้อย 20-30 นาที อีกทั้งยังควรทาซ้ำทุก ๆ 2 ชั่วโมง เพื่อประสิทธิภาพสูงสุด
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับแสงสังเคราะห์ เช่น แสงจากเตียงอาบแดด เพราะแสงจากอุปกรณ์เหล่านี้สามารถเพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็งผิวหนังได้เช่นกัน
- ไม่ควรสูบบุหรี่ หรือสัมผัสควันบุหรี่