ฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir)

ฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir)

Favipiravir (ฟาวิพิราเวียร์) หรือในอีกชื่อที่เรียกว่า T-705 เป็นยารักษาโรคไข้หวัดใหญ่ในผู้ป่วยที่รักษาด้วยยาต้านไวรัสไข้หวัดใหญ่ชนิดอื่นแล้วไม่ได้ผลหรือได้ผลไม่ดี และไวรัสกลุ่มอาร์เอ็นเอ (RNA Virus) หลายสายพันธุ์ อย่างไวรัสก่อโรคไข้ลัสสา (Lassa) หรือไข้เหลือง โดยออกฤทธิ์ยับยั้งการเพิ่มจำนวนของเชื้อไวรัสภายในร่างกาย ทำให้ลดการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่นและป้องการติดเชื้อ       

นอกจากนี้ ยา Favipiravir ได้ถูกนำมาใช้ในช่วงการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัส อย่างโรคอีโบลา (Ebola) และล่าสุดคือ โรคโควิด-19 (COVID-19) โดยในปัจจุบัน ประเทศไทยได้วางแผนการผลิตยาชนิดนี้ขึ้นเอง ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการวิจัย พัฒนา และเฝ้าติดตามประสิทธิภาพของตัวยาอย่างต่อเนื่อง เพื่อใช้เป็นยารักษาสำรองสำหรับผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในอนาคต

ฟาวิพิราเวียร์ (Favipiravir)

เกี่ยวกับยา Favipiravir

กลุ่มยา ยาต้านไวรัส
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์
สรรพคุณ รักษาโรคไข้หวัดใหญ่ ไวรัสกลุ่มอาร์เอ็นเอ และโรคโควิด-19
กลุ่มผู้ป่วย ผู้ใหญ่ เด็ก
รูปแบบของยา ยารับประทาน
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์และผู้ให้นมบุตร ปัจจุบันยาฟาวิพิราเวียร์ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ วางแผนจะตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าจะตั้งครรภ์ เนื่องจากมีงานวิจัยในสัตว์พบว่า ตัวยาส่งผลให้ตัวอ่อนในครรภ์สัตว์เสียชีวิต จึงอาจเป็นอันตรายต่อคุณแม่และทารก และผู้ที่ต้องให้นมบุตรในขณะใช้ยานี้ควรปรึกษาแพทย์ถึงความเสี่ยงของตัวยาต่อทารกก่อนให้นมบุตรเช่นกัน

คำเตือนในการใช้ยา Favipiravir

เพื่อความปลอดภัยในการใช้ยา ผู้ป่วยควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้

  • แจ้งให้แพทย์ทราบหากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยา Favipiravir รวมถึงยาและสารอื่น ๆ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย
  • แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยา วิตามิน หรือสมุนไพรทุกชนิดที่ผู้ป่วยกำลังใช้อยู่ เพราะยาบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับยานี้จนก่อให้เกิดผลข้างเคียง หรือทำให้ยามีประสิทธิภาพลดลง อาทิ ยาไพราซินาไมด์ (Pyrazinamide) ยารีพาไกลไนด์ (Repaglinide) ยาทีโอฟิลลีน (Theophylline) ยาแฟมไซโคลเวียร์ (Famciclovir) และยาอะไซโคลเวียร์ (Acyclovir) 
  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการใช้ยาหากผู้ป่วยมีภาวะกรดยูริกในเลือดสูง โรคเก๊าท์ หรือมีประวัติเคยเป็นโรคเก๊าท์มาก่อน 
  • ผู้ป่วยทั้งหญิงและชายควรคุมกำเนิดด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงในขณะที่ใช้ยานี้และหลังหยุดใช้ยาไปแล้ว 7 วัน 
  • ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่กำลังตั้งครรภ์ วางแผนจะตั้งครรภ์ หรือสงสัยว่าจะตั้งครรภ์ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย 
  • ผู้ป่วยที่ต้องให้นมบุตรในขณะที่ใช้ยานี้ ควรปรึกษาแพทย์ถึงความเสี่ยงต่อทารกก่อนให้นมบุตร 

ปริมาณการใช้ยา Favipiravir

ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยมีตัวอย่างการใช้ยาดังนี้

รักษาโรคไข้หวัดใหญ่

ตัวอย่างการใช้ยา Favipiravir เพื่อรักษาโรคไข้หวัดใหญ่  

ผู้ใหญ่ รับประทานยาปริมาณ 1,600 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ในวันที่ 1 จากนั้นให้รับประทานยาปริมาณ 600 มิลลิกรัม วันละ 2 ครั้ง ติดต่อกันเป็นเวลานาน 4 วัน 

รักษาโรคโควิด-19

ตัวอย่างการใช้ยา Favipiravir เพื่อรักษาโรคโควิด-19

ผู้ใหญ่ วันแรกให้รับประทานยาปริมาณ 200 มิลลิกรัม จำนวน 8 เม็ด วันละ 2 ครั้ง ในวันถัดไปให้รับประทานยาปริมาณ 200 มิลลิกรัม จำนวน 3 เม็ด วันละ 2 ครั้ง สำหรับผู้ป่วยที่มีค่าดัชนีมวลกาย (BMI) 35 กิโลกรัม/ พื้นที่ผิว 1 ตารางเมตรขึ้นไปให้รับประทานยาปริมาณ 60 มิลลิกรัม/ น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน โดยแบ่งรับประทานวันละ 2 ครั้ง จากนั้นให้รับประทานยาปริมาณ 20 มิลลิกรัม/ น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/วัน โดยแบ่งรับประทานวันละ 2 ครั้ง ในวันถัดไป 

เด็ก วันแรกให้รับประทานยาปริมาณ 30 มิลลิกรัม/ น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม วันละ 2 ครั้ง ในวันถัดไปให้รับประทานยาปริมาณ 10 มิลลิกรัม/ น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม วันละ 2 ครั้ง  

ทั้งนี้ แพทย์อาจใช้ยา Favipiravir ร่วมกับยาชนิดอื่น ๆ ในการรักษาโรคโควิด-19 ในผู้ป่วยบางราย และอาจปรับปริมาณการใช้ยาให้เหมาะสมกับแต่ละคนตามดุลยพินิจของแพทย์

การใช้ยา Favipiravir

การใช้ยา Favipiravir โดยเฉพาะในผู้ป่วยโรคติดเชื้ออย่างโรคโควิด-19 ต้องอยู่ภายใต้การดูแลและคำสั่งจากแพทย์ ผู้ป่วยควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ในด้านต่าง ๆ อย่างเคร่งครัด และควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากอาการไม่ดีขึ้น แย่ลง หรือมีอาการผิดปกติอื่น ๆ เกิดขึ้นหลังการใช้ยา

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Favipiravir 

ผู้ป่วยที่ใช้ยาฟาวิพิราเวียร์อาจมีผลข้างเคียงต่าง ๆ เกิดขึ้น เช่น ระดับกรดยูริกในเลือดเพิ่มขึ้น ค่าเม็ดเลือดขาวชนิดนิวโตรฟิลลดลง ท้องเสีย คลื่นไส้ อาเจียน ปวดท้อง ผื่นคัน ผิวหนังอักเสบ หอบหืด เจ็บบริเวณคอหอย จมูกอักเสบ ค่าเอนไซม์ในตับเพิ่มขึ้น อย่างค่า AST และค่า ALT เป็นต้น 

อย่างไรก็ตาม ยา Favipiravir อาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงหรือความผิดปกติอื่นนอกเหนือจากที่กล่าวมาข้างต้นได้ ผู้ป่วยควรหมั่นสังเกตอาการของตัวเองอยู่เสมอและแจ้งให้แพทย์ทราบทันที เพื่อรับการรักษาในแนวทางที่เหมาะสม