พยาธิใบไม้ตับ

ความหมาย พยาธิใบไม้ตับ

พยาธิใบไม้ตับ เป็นพยาธิที่ทำให้เกิดการติดเชื้อภายในท่อน้ำดีตับจากการบริโภคปลาหรือสัตว์น้ำดิบ ๆ หรือกึ่งสุกกึ่งดิบ โดยพยาธิใบไม้ตับจะอาศัยร่างกายของมนุษย์หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมเพื่อเจริญเติบโตและวางไข่ ส่งผลให้ท่อน้ำดีเกิดการอักเสบเรื้อรังหรืออุดตันจากไข่และตัวพยาธิ ผู้ป่วยจึงอาจมีอาการท้องอืด แน่นท้อง หรืออ่อนเพลีย แต่หากอาการรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยอาจตาเหลืองตัวเหลืองคันตามตัว หรือเบื่ออาหารได้ 

พยาธิใบไม้ตับ

พยาธิใบไม้ตับที่พบบ่อยที่สุดในประเทศไทย ได้แก่ สายพันธุ์โอปิสทอร์คิส วิเวอร์รินี (Ophisthorchis Viverrini) มีลักษณะเรียวยาว ลำตัวแบน บาง และโปร่งใส หากโตเต็มวัยจะมีขนาดกว้างถึง 2-3 เซนติเมตร ยาว 5-10 เซนติเมตร และสามารถอาศัยอยู่ในท่อน้ำดีของตับคนได้นานถึง 26 ปี

อาการของพยาธิใบไม้ตับ

ในระยะแรกของการติดเชื้อ หากพยาธิใบไม้ตับยังมีจำนวนไม่มาก และเนื้อตับยังมีการอักเสบหรือเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย ผู้ป่วยอาจยังไม่ปรากฏอาการใด ๆ แต่หากมีพยาธิใบไม้ตับสะสมอยู่จำนวนมากเป็นเวลานาน จนเกิดการติดเชื้อเรื้อรังและตับเสียหายมากขึ้น ผู้ป่วยอาจเริ่มแสดงอาการคล้ายกับการป่วยโรคระบบทางเดินอาหารทั่วไป เช่น

  • รู้สึกร้อนบริเวณท้อง
  • อาหารไม่ย่อย แน่นท้อง ท้องอืด
  • ท้องเสียเรื้อรัง หรือท้องเสียสลับกับท้องผูก
  • ปวดหลัง
  • ปวดท้องบริเวณด้านขวาบนจากภาวะตับอักเสบ
  • เจ็บใต้ชายโครงขวา หรือใต้ลิ้นปี่
  • คลำพบตับหรือก้อนในท้องด้านขวาบน
  • อ่อนเพลีย

หากป่วยมานานแต่ไม่ได้รับการรักษา ตับอาจเกิดการอักเสบเสียหายมากขึ้น รวมทั้งมีพยาธิและไข่พยาธิอุดตันทางเดินน้ำดีในตับ จนผู้ป่วยอาจมีอาการตับและถุงน้ำดีโต ตาเหลืองตัวเหลืองเป็นครั้งคราว ขาดสารอาหาร และหากอาการทวีความรุนแรงขึ้น ผู้ป่วยอาจมีอาการดังต่อไปนี้

  • ปวดท้องด้านขวาบนเพิ่มมากขึ้น แน่นท้องจากตับโตมากขึ้น
  • เบื่ออาหาร ผอมลง
  • มีไข้ต่ำ
  • คันตามตัว
  • แขนขาบวม และมักมีน้ำในท้องหรือท้องมาน
  • มีปัสสาวะสีเข้ม และมีอุจจาระสีซีด
  • ตัวเหลือง ตาเหลือง
  • ภาวะท่อน้ำดีอุดตันถาวร
  • ตับและถุงน้ำดีโตมากจนคลำเจอเองได้

สาเหตุของพยาธิใบไม้ตับ

พยาธิใบไม้ตับมักเป็นการติดเชื้อจากพยาธิสายพันธุ์โอปิสทอร์คิสวิเวอร์รินีที่เข้ามาอาศัยภายในท่อน้ำดีตับจากการบริโภคปลาหรือสัตว์น้ำที่มีตัวอ่อนระยะติดต่อเข้าไปโดยไม่ผ่านการปรุงสุกให้ความร้อนฆ่าพยาธิ โดยเฉพาะปลาน้ำจืด เช่น ปลาตะเพียน ปลาซิว ปลาสร้อย ปลาแก้มช้ำ ปลาขาวนา และปลาขาว หรือปลาจากการแปรรูปหมักดอง เช่น ปลาร้า และอาหารที่ปรุงจากปลาร้า เช่น ส้มตำ แจ่ว เป็นต้น

ตัวอ่อนของพยาธิใบไม้ตับจะใช้ท่อน้ำดีตับของมนุษย์ในการเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัย จนร่างกายได้รับความเสียหายและเกิดอาการป่วยต่าง ๆ ขึ้น โดยพยาธิใบไม้ตับมีวงจรชีวิต ดังนี้

  • มนุษย์หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมรับเอาตัวอ่อนลักษณะซีสต์ระยะเมตาเซอร์คาเรีย (Encysted Metacercariae) หรือระยะติดต่อของพยาธิใบไม้ตับเข้าสู่ร่างกาย
  • พยาธิตัวอ่อนจะเข้าสู่ลำไส้เล็กและตับ ผ่านรูเปิดของท่อน้ำดีตับที่เปิดเข้าลำไส้เล็ก และเจริญเติบโตในท่อน้ำดีตับ
  • ตัวอ่อนจะอาศัยในท่อน้ำดีจนเจริญเติบโตเป็นตัวเต็มวัย กลายเป็นหนอนพยาธิ
  • เมื่อคนหรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่เป็นรังโรคของพยาธิใบไม้ตับขับถ่ายอุจจาระไม่เป็นที่ ไข่ของพยาธิใบไม้ตับที่ปนอยู่ในอุจจาระจะปนเปื้อนลงในแหล่งน้ำ และถูกกินโดยหอยน้ำจืด เช่น หอยขม จากนั้นตัวอ่อนจะอาศัยร่างกายของหอยน้ำจืดในการเจริญเติบโตเป็นระยะเซอร์คาเรีย (Cercaria)
  • ตัวอ่อนระยะเซอร์คาเรียจะไชออกจากหอยน้ำจืดลงสู่แหล่งน้ำ และไชเข้าไปอาศัยอยู่ในเนื้อปลาน้ำจืด จนเจริญเติบโตเป็นตัวอ่อนลักษณะซีสต์ระยะเมตาเซอร์คาเรียหรือตัวอ่อนระยะติดต่อ
  • เมื่อมนุษย์หรือสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมอื่น ๆ บริโภคปลาที่มีพยาธิเข้าไป พยาธิก็จะเจริญเติบโตและวางไข่ในท่อน้ำดีตับต่อไป

การวินิจฉัยพยาธิใบไม้ตับ

ในเบื้องต้น แพทย์อาจวินิจฉัยอาการด้วยการซักประวัติผู้ป่วยเกี่ยวกับแหล่งอาศัย อาหารที่บริโภค และอาการต่าง ๆ ที่ปรากฏขึ้น จากนั้น อาจส่องกล้องจุลทรรศน์ตรวจตัวอย่างอุจจาระเพื่อหาไข่พยาธิ แต่หากตรวจไม่พบ แพทย์อาจต้องวินิจฉัยด้วยการหาสารก่อภูมิต้านทาน (Antigen) ต่อพยาธิใบไม้ตับ จากอุจจาระหรือเลือดต่อไป

นอกจากนั้น หากพบภาวะตับโต แพทย์อาจส่งตรวจอัลตราซาวด์ หรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อหาภาวะแทรกซ้อนจากโรคพยาธิใบไม้ตับเพิ่มเติม

การรักษาพยาธิใบไม้ตับ

เพื่อการรักษาพยาธิใบไม้ตับอย่างเหมาะสม แพทย์อาจต้องพิจารณาจากผลการวินิจฉัยไข่พยาธิ ระดับความรุนแรงของการติดเชื้อ และภาวะแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น โดยการรักษาพยาธิใบไม้ตับ มีดังนี้

การใช้ยา

  • ยาพราซิควอนเทล รับประทานปริมาณ 25 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม 3 ครั้ง หลังอาหารเย็นหรือก่อนนอน หรือปริมาณ 40-50 มิลลิกรัม/น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม 1 ครั้ง จากนั้น ไข่พยาธิในอุจจาระจะหายไปภายใน 1 สัปดาห์
  • ยาปฏิชีวนะ ใช้สำหรับผู้ป่วยที่ติดเชื้อแบคทีเรียร่วมด้วย

การผ่าตัด

แพทย์อาจต้องผ่าตัดหากเกิดภาวะแทรกซ้อนในระบบทางเดินน้ำดี

นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางรายอาจต้องรับการรักษาแบบประคับประคองตามอาการ เช่น กินยาแก้ปวด ต่อท่อเข้าไปในท่อน้ำดีเพื่อระบายน้ำดี ลดอาการตัวเหลืองตาเหลือง หรือเจาะน้ำออกจากท้องเป็นครั้งคราวเมื่อมีอาการแน่นท้องมากจากมีน้ำในท้อง เป็นต้น

ภาวะแทรกซ้อนของพยาธิใบไม้ตับ

ผู้ป่วยพยาธิใบไม้ตับอาจปรากฏภาวะแทรกซ้อนได้ ดังต่อไปนี้

  • ภาวะโลหิตจาง
  • ติดเชื้อแบคทีเรีย
  • ท่อน้ำดีอักเสบติดเชื้อ
  • ถุงน้ำดีอักเสบ
  • ตับอ่อนอักเสบ
  • ตับแข็ง
  • มะเร็งท่อน้ำดี
  • ติดเชื้อในกระแสเลือด และการติดเชื้อกระจายไปทั่วร่างกาย

การป้องกันพยาธิใบไม้ตับ

เนื่องจากการติดเชื้อพยาธิใบไม้ตับเกิดจากการบริโภคพยาธิใบไม้ตับเข้าสู่ร่างกาย การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินจึงเป็นการป้องกันที่ดีที่สุด ดังนี้

  • เลิกรับประทานปลาหรือสัตว์น้ำจืดแบบดิบ ๆ กึ่งสุกกึ่งดิบ หรือแบบแปรรูปหมักดอง เช่น ปลาร้า
  • ปรุงอาหารจำพวกปลาหรือสัตว์น้ำจืดให้สุกอย่างทั่วถึงก่อนบริโภคเสมอ ด้วยอุณหภูมิสูงตั้งแต่ 70 องศาเซลเซียสขึ้นไป
  • หากต้องการรับประทานเนื้อปลาดิบ ๆ ควรแช่แข็งปลาที่ความเย็นต่ำกว่าหรือเท่ากับ -20 องศาเซลเซียส ก่อนรับประทานเป็นเวลา 7 วัน

หลังรักษาหายแล้ว ควรตรวจอุจจาระเป็นครั้งคราวตามคำแนะนำจากแพทย์ เพื่อป้องกันกลับมาเป็นซ้ำอีกครั้ง