ถามแพทย์

  • มีเสมหะเรื้อรังมาเกือบปี เวลาก่อนนอนหรือตื่นนอนเสมหะจะมีเยอะ เวลาทานอาหารก็จะมีเสมหะมาก ควรทำอย่างไร

  •  ปันๆ
    สมาชิก
    มีเสมหะเรื้องรังไม่หายมาเกือบปีแล้วค่ะ เวลาก่อนนอน หรือตื่นนอนเสมหะเจอเยอะมาก กินยาก็ไม่ดีขึ้น แล้วเวลาทานอาหารทุกครั้งก็จะมีเสมหะเกิดขึ้น ซึ่งรบกวนคนรอบข้างและตัวเองมากเลยค่ะ เพราะทุกครั้งเวลากินอาหาร ก็อยากจะไอ เอาเสมหะออกมา แล้วมีเยอะด้วยค่ะ

     สวัสดีค่ะ คุณ Nam,

                       อาการมีเสมหะมาก และเป็นเรื้อรัง อาจเกิดจาก

                   1. เป็นโรคกรดไหลย้อน  ซึ่งเกิดจากการที่น้ำย่อยในกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นมาถึงบริเวณลำคอ ทำให้เกิดการระคายเคืองคอและมีเสมหะได้ โดยเฉพาะเมื่อนอนลง อาการก็จะเป็นได้มากขึ้น หรือเป็นหลังทานอาหารใหม่ๆ นอกจากนี้มักมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น แสบร้อนจากช่วงอกไปจนถึงลิ้นปี่ เจ็บหน้าอก มีน้ำรสเปรี้ยวหรือขมในคอ เรอบ่อย เจ็บคอ ระคายเคืองคอ เป็นต้น

                    2. ภูมิแพ้อากาศ แต่นอกจากจะมีเสมหะแล้ว มักมีน้ำมูกใส จาม คันจมูก คันหัวตา เป็นต้น

                    3. โรคหอบหืด อาจทำให้มีเสมหะในลำคอมากได้ แต่ก็มักจะมีอาการเหนื่อยง่าย หายใจลำบาก ที่จะเกิดขึ้นเป็นพักๆ เมื่อสัมผัสกับสิ่งที่ก่อให้เกิดการแพ้ต่างๆ 

                     4. การหายใจเอาสารเคมี มลพิษ ฝุ่นละออง ควันบุหรี่เข้าไปบ่อยๆ ซึ่งจะไประคายเคืองต่อเยื่อบุทางเดินหายใจ อาจทำให้มีน้ำมูกมาก และไหลลงคอจนเป็นเสมหะได้ 

                     5. ไซนัสอักเสบเรื้อรัง มักทำให้มีอาการน้ำมูกมาก ซึ่งน้ำมูกอาจไหลลงคอ ทำให้รู้สึกเหมือนมีเสมหะตลอดเวลา โดยเฉพาะเมื่อนอนลง น้ำมูกก็จะไหลลงคอมากขึ้น นอกจากนี้ จะมีอาการคัดจมูก แน่นจมูก การได้กลิ่นลดลง ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น ปวดศรีษะ ปวดตามโหนกแก้ม หน้าผาก เป็นต้น

                    ในเบื้องต้น หากไม่มีไข้ ไม่มีน้ำมูก คัดจมูก ไม่มีจาม ไม่มีหายใจเหนื่อย ก็อาจดูแลตนเองแบบโรคกรดไหลย้อนไปก่อน เช่น การเลือกทานอาหารที่ย่อยง่าย รสไม่จัด ไม่เผ็ด ไม่ทานปริมาณที่มากไป เคี้ยวให้ละเอียดก่อนกลืน ทานช้าๆ ไม่เร่งรีบ ห้ามดื่มแอลกอฮอล์ เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน และน้ำอัดลมอัดแก๊สต่างๆ เป็นต้น ไม่ทานของมันๆ เช่น อาหารทอด อาหารผัด ไม่ทานเนื้อสัตว์ชิ้นใหญ่ หลังทานอาหารต้องห้ามนอนทันที ควรเว้นระยะห่างอย่างน้อย 2-4 ชั่วโมง นอกจากนี้อาจทานยาช่วยให้อาหารเคลื่อนตัวออกจากกระเพาะอาหารเข้าสู่ลำไส้เล็กได้เร็วขึ้น เช่น ยาเมโทโคลพราไมด์ (metoclopramide) เป็นต้น โดยควรทานยาก่อนอาหารประมาณครึ่งชั่วโมง

                      แต่หากอาการยังไม่ดีขึ้น ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาค่ะ