ถามแพทย์

  • ตรวจเจอถุงน้ำในมดลูก กลัวเป็นซีสต์ ตอนนี้ประจำเดือนไม่มา มีรังไข่อักเสบ เคยแท้งลูกไปเดือน ม.ค.

  • วันนี้ไปซาวมดลูกมา เจอถุงน้ำเล็กๆในมดลูก เเล้วเยื้อในโพรงหนา เเต่ไม่ใช่ถุงการตั้งครรรภ์นะค่ะ หมอบอกเเค่ว่าเป็นถุงน้ำเดียวจะหายไปเอง พอกลับจากโรงบาลไม่ได้สงสัยอะไรพอมาหาข้อมูลเกี่ยวกับถุงน้ำ ตอนนี้ก็กลัวว่าจะเป็นซีสต์ค่ะ อยากรู้ว่าใช่ซีสต์รึป่าว ตอนนี้กังวลมากค่ะ ถ้าเป็นซีสต์ในมดลูกถ้าซาวจะเห็นเป็นลักษณะไหนค่ะ -ตอนนี้ประจำเดือนยังไม่มา สาเหตุ เพราะเเท้งน้องไปตอนเดือนมกรา -อาหารตอนนี้มีรังไข่อักเสบ ปวดหลัง ขาหนีบ ขางขวา

    สวัสดีค่ะ คุณ พี่เเมวเหมียว ม่อนม่อน,

                        คำว่าซีสต์ (cyst) เป็นภาษาอังกฤษ แปลว่าถุงน้ำ ดังนั้น หากตรวจเจอถุงน้ำ ก็คือตรวจเจอซีสต์นั่นเองค่ะ ซึ่งโดยส่วนใหญ่จะพบอยู่ในรังไข่ หรือที่ปีกมดลูก พบได้น้อยมากที่มดลูก และโดยส่วนใหญ่มักเป็นถุงน้ำธรรมดา ซึ่งจะมีขนาดเล็ก และไม่ก่อให้เกิดอาการอะไร มีเพียงบางส่วนที่เป็นถุงน้ำของเนื้องอกชนิดต่างๆ ซึ่งอาจมีขนาดเล็กหรือใหญ่ก็ได้ และมักทำให้เกิดอาการ รวมถึงอาจโตขึ้นเรื่อยๆได้

                       ดังนั้น หากแพทย์ตรวจเจอถุงน้ำซึ่งมีขนาดเล็ก ก็น่าจะเป็นถุงน้ำธรรมดา ซึ่งไม่ได้มีอันตรายอะไรค่ะ และมีโอกาสจะยุบหายไปเองได้ 

                       สำหรับการที่ตรวจพบมีรังไข่อักเสบ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของโรคอุ้งเชิงกรานอักเสบนั้น เกิดจากมีการติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งแพร่กระจายมาจากช่องคลอดหรือปากมดลูก โดยเชื้ออาจเป็นเชื้อโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่างๆ เช่น เชื้อหนองใน เชื้อคลาไมเดีย เชื้อมัยโคพลาสมา เป็นต้น หรือเป็นเชื้อที่อยู่ในช่องคลอดเองก็ได้ ซึ่งโดยปกติแบคทีเรียในช่องคลอด เป็นชนิดที่ไม่เป็นอันตรายอาศัยอยู่ แต่เมื่อเข้าไปในส่วนอื่น ๆ ของร่างกาย ก็จะทำให้เกิดการอักเสบได้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นจากการกระทำต่างๆ เช่น การตรวจภายในมดลูก การทำแท้ง การใส่อุปกรณ์คุมกำเนิดเข้าไป เป็นต้น

                         การเกิดมีรังไข่อักเสบ หรืออุ้งเชิงกรานอักเสบ ก็จะทำให้มีอาการปวดท้องน้อย และอาจปวดลามไปที่หลังได้ มีตกขาวที่ผิดปกติ คือมีตกขาวปริมาณมาก มีกลิ่นเหม็น เป็นต้น รวมถึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ไม่มีประจำเดือนมาได้ หรืออาจทำให้เกิดมีเลือดออกกะปริดกะปรอยได้

                        การรักษาโรครังไข่อักเสบ หรืออุ้งเชิงกรานอักเสบ ต้องอาศัยการทานยาปฏิชีวนะต่อเนื่อง ซึ่งหากยังไม่ดีขึ้น แพทย์อาจทำการฉีดยาปฏิชีวนะแบบต่อเนื่องต่อไปค่ะ หากไม่รักษาให้โรคหายไป ก็อาจมีผลต่อการมีลูกยากในอนาคตได้ค่ะ