ถามแพทย์

  • อายุ 15 ปี หยุดฉีดยาคุมแล้วมีประจำเดือนมาปกติ ต่อมามีเลือดออกนานเกือบ 2 เดือน ไม่ปวดท้อง อันตรายไหม

  •  Gam Gam
    สมาชิก
    สวัสดีค่ะ หนูอายุ15ปีน่ะคะ คือไปฉีดยาคุมมาอ่ะค่ะแบบ3เดือน1ครั้งฉีดมาได้3ครั้งก็ระหว่างนั้นคือมีประจำเดือนกะปิปกะปอยตลอด พอเลิกฉีดมาไม่นานก็มีประจำเดือนมาปกติแรกๆมาไม่มากพอหลังเริ่มมามากแล้วตอนนี้ผ่านมาสองเดือนแล้วค่ะยังไม่หยุดเลยแบบนี้อันตรายไหมคะ แต่หนูไม่มีอาการปวดท้องอะไรเลยค่ะ ขอบคุณค่ะ

     สวัสดีค่ะ คุณ Gam Gam,

                          การมีเลือดออกกะปริดกะปรอยในระหว่างที่ฉีดยาคุมกำเนิด ถือเป็นผลข้างเคียงที่สามารถพบได้ ไม่ได้อันตรายแต่อย่างใด และเมื่อหยุดฉีด ได้มีประจำเดือนมาเป็นปกติแล้ว แสดงว่ารังไข่ได้กลับมาทำงานแล้ว และยาฉีดก็ไม่มีมีผลต่อการทำงานของรังไข่อีกแต่อย่างใด

                           ดังนั้น การที่มีประจำเดือนมานาน 2 เดือน ถือว่าเป็นอาการเลือดออกผิดปกติ โดยอาจเกิดจาก

                          1. ภาวะแทรกซ้อนจากการตั้งครรภ์ เช่น แท้งคุกคาม หากหลังจากหยุดฉีดยาคุม ได้มีเพศสัมพันธ์ ก็อาจมีโอกาสตั้งครรภ์ได้ แต่มักมีอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วย

                           2. การทำงานผลิตฮอร์โมนของรังไข่ผิดปกติ เช่น ภาวะที่มีถุงน้ำในรังไข่หลายใบ (PCOS) 

                          3. ความผิดปกติที่มดลูก เช่น เนื้องอกมดลูก เยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ เยื่อบุโพรงมดลูกหนาตัวผิดปกติ มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูก มะเร็งปากมดลูก เป็นต้น แต่มักพบในวัยกลางคนขึ้นไป

                         4. มีโรคในระบบอื่นๆ เช่น มีภาวะเกร็ดเลือดต่ำ ภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ เป็นต้น

                          5. การใช้ยาฮอร์โมนต่างๆ เช่น ยาสตรี สมุนไพร อาหารเสริมต่างๆ รวมถึงยาบางชนิด เช่น ยาต้านการแข็งตัวของเลือด เป็นต้น

                          6. มีมดลูกอักเสบติดเชื้อ ซึ่งจะมีตกขาวที่ผิดปกติและอาการปวดท้องน้อยร่วมด้วย 

                        หากยังคงมีเลือดไหล แนะนำควรไปพบสูติ-นรีแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุและรักษาค่ะ ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้เพราะจะทำให้เกิดภาวะโหลิตจางตามมาได้