ถามแพทย์

  • มีระยะห่างระหว่างรอบเดือนนาน 40-45 วัน แล้วไปบริจาคเลือดมา มีปริมาณออกน้อย ทานยาปรับฮอร์โมนไป ก็ออกวันเดียว

  •  L
    สมาชิก
    ปกติเป็นคนประจำเดือนมาไม่ปกติ รอบเดือนนานมาก 40-45 วัน หรือบางทีก็เว้นเดือนคะ แล้วประจำเดือนมาล่าสุด ช่วงปลายธันวา แล้วต้น ม.ค. ได้บริจาคเลือดไม่ได้ทานยาบำรุงเลือดที่หมอให้มาเลย ผ่านรอบเดือนไป 51 วันได้มีคล้ายประจำเดือนสีจางๆออกมานิดหน่อยคะ ไปหาหมอให้ยาปรับฮอร์โมนมาทานผ่านไป2-3วัน ก็ได้มีอาการหน่วงๆทัองแล้วทีประจำเดือนสีจางๆออกมาอีก แต่เยอะกว่าครั้งแรกแต่มาแค่วันเดียว มีโอกาสตั้งครรภ์ไหมคะแบบนี้

    สวัสดีค่ะ คุณ L,

                        การที่มีระยะห่างระหว่างรอบเดือนนาน 40-45 วัน หรือนานกว่านั้น อาจเกิดจากสาเหตุ เช่น

                        1. การผลิตฮอร์โมนของรังไข่ผิดปกติ เช่น มีกลุ่มอาการมีถุงน้ำจำนวนมากในรังไข่ (PCOS) โดยผู้ที่เป็นโรคนี้มักจะมีรูปร่างอ้วน ผิวมัน มีสิวเยอะ และมีขนดกมากกว่าผู้หญิงทั่วไป    

                        2. โรคอ้วน เนื่องจากคนอ้วนมีเซลล์ไขมันจำนวนมาก ซึ่งเซลล์ไขมันสามารถสร้างฮอร์โมนเอสโตรเจนได้ในปริมาณเล็กน้อย เมื่อมีปริมาณมากเกิน จึงกระทบต่อการหลั่งฮอร์โมนเพศที่ปกติได้ 

                        3. มีภาวะไทรอยด์ฮอร์โมนเป็นพิษ หรือไทรอยด์ฮอร์โมนต่ำ 

                        และหากได้มีการบริจาคเลือดไป ก็อาจทำให้ร่างกายเกิดภาวะโลหิตจางตามมาได้ โดยเฉพาะหากไม่ได้ทานยาบำรุงเลือดและทานอาหารที่ไม่เหมาะสม ดังนั้น ก็อาจส่งผลต่อปริมาณของประจำเดือน ทำให้ประจำเดือนออกมาปริมาณน้อยได้ และแม้จะทานยาปรับฮอร์โมนไป ก็ไม่ได้ทำให้ปริมาณเลือดมีมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อทานยาปรับฮอร์โมน แล้วเกิดมีเลือดออกมา ก็ย่อมแสดงว่าไม่ได้มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นค่ะ

                        หลังจากนี้ หากยังคงมีระยะห่างระหว่างรอบประจำเดือนที่มากกว่า 45 วัน ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุค่ะ และควรทานยาบำรุงเลือดที่ได้มาจากการบริจาคเลือดด้วย  หรือเลือกทานอาหารที่มีธาตุเหล็กสูง เพื่อช่วยในการสร้างเม็ดเลือดแดง เช่น เนื้อสัตว์สีแดงต่างๆ รวมถึงหอยแมลงภู่ ไข่ ผักสีเขียวเข้ม เช่น คะน้า บร็อกโคลี มะเขือพวง ผักกูด ผักแว่น หน่อไม้ฝรั่ง ผักโขม ใบแมงลัก ถั่วแดง ถั่วเหลือง ถั่วดำ งาดำ เป็นต้น