ท้องเสียมา 1 เดือน โดยสลับกับถ่ายปกติ ปวดท้องหลังทานอาหาร อ่อนเพลีย ตรวจอุจาระหมอบอกว่าไม่มีเลือด กินยาแล้วไม่ดีขึ้น ทำอย่างไร

สวัสดีค่ะ คุณ ara_1234,

                   หากมีอาการถ่ายเหลวมา 1 เดือน ถือเป็นอาการท้องเสียแบบเรื้อรัง ซึ่งอาจเกิดจาก

              - เป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง อาการคือปวดท้อง ท้องเสียบ่อย อุจจาระมีมูก หรือเลือดปน อาจมีไข้ได้ คลื่นไส้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร น้ำหนักลด เป็นต้น

              - การใช้ยาปฏิชีวนะบางชนิดอย่างต่อเนื่อง ยารักษาโรคเก๊าท์ ผลข้างเคียงจากการได้รับยาเคมีบำบัดหรือฉายรังสีเพื่อรักษาโรคมะเร็ง

              - การติดเชื้อพยาธิในลำไส้

              - โรคลำไส้แปรปรวน จะทำให้มีอาการไม่สบายท้อง แน่นท้อง ท้องอืด  มีแก๊สในทางเดินอาหารมาก ปวดท้องหลังรับประทานอาหาร และอาการจะดีขึ้นหลังการขับถ่าย ท้องเสีย หรืออาจท้องผูกสลับกับท้องเสีย อุจจาระไม่สุด อุจจาระมีเมือกใสหรือสีขาวปนออกมา กลั้นอุจจาระไม่อยู่ และอาจพบอาการอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น อ่อนเพลีย หมดแรง ปวดหลัง กลั้นปัสสาวะไม่อยู่ เป็นต้น

              - มะเร็งลำไส้ใหญ่และทวารหนัก อาการเช่น ปวดท้องเรื้อรัง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ถ่ายเป็นเลือด เป็นต้น

               ทั้งนี้ หากได้ตรวจอุจจาระแล้ว ไม่พบเม็ดเลือดแดง ก็ไม่น่าเกิดจากโรคมะเร็งลำไส้ และหากไม่พบความผิดปกติอื่นๆ ของอุจจาระ ก็แสดงว่าไม่มีพยาธิหรือไม่ได้เป็นโรคลำไส้อักเสบเรื้อรัง ดังนั้น หากไม่ได้มีการทานยาอะไร ก็น่าจะเป็นโรคลำไส้แปรปรวน

              หากยังคงมีอาการ แนะนำว่าควรไปพบอายุรแพทย์ทางเดินอาหารเพื่อตรวจวินิจฉัยให้แน่นอนค่ะ ในเบื้องต้น ก็ควรพยายามเลือกทานอาหารที่สะอาด ปรุงสุกใหม่ ไม่ทานอาหารรสจัด ลดอาหารประเภท นม เนย ชีส ช็อกโกแลต ข้าวสาลี ของทอด อาหารที่มีไขมันสูง น้ำอัดลม ชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ซึ่งมักทำให้เกิดแก๊สในทางเดินอาหาร เกิดความไม่สบายท้องได้ค่ะ และควรลดการทานของหวานต่างๆ ไม่ทานน้ำตาลมากไป และไม่ควรทานน้ำตาลเทียมทุกชนิด นอกจากนี้ ก็ควรดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอ โดยเฉพาะวันที่มีถ่ายเหลวควรดื่มให้มากขึ้นค่ะ