ถามแพทย์

  • มีติ่งขึ้นที่หัวหน่าว ไปพบแพทย์บอกเป็นหูด จี้ไฟฟ้ารักษา หลังแผลหาย ได้มีติ่งขึ้นมาอีก มีวิธีรักษาอื่นไหม

  •  karrrr
    สมาชิก
    ขออยุญาตสอบถามครับ เมื่อประมาณเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมาผมมีติ่งเนื้อขึ้นเป็นเม็ดกลมๆที่หัวหน่าว ประมาณ 5 - 6 อัน ผ่านไปสักพัก มันเริ่มกลายเป็นเส้นๆเหมือนนิ้วมือเล็กๆ ผมจึงไปหาข้อมูล พบว่าอาจเป็นหูดหงอนไก่ จึงไปซื้อยาที่เภสัชกร ได้ยา aldara cream มา จึงทาก่อนนอนวันเว้นวัน สัก1 อาทิตย์ เกิดการระคายเคืองและเกิดอาการต่อมน้ำเหลืองอักเสบบริเวณขาหนีบ ถึงไปพบแพทย์ แพทย์บอกว่าเป็นหูด จึงตัดสินใจให้จี้ออกด้วยไฟฟ้า เกิดแผลใหญ่ กว่าจะหาย เกือบเดือน ในระหว่างมีแผลแพทย์ได้จ่ายยาฆ่าเชื้อและยาแก้อักเสบให้ หลังจากแผลหาย ก็พบว่ามีติ่งหูดลักษณะเดิมเกิดขึ้น 1 อันบริเวณใกล้เคียงรอยโรคเดิม ผมอยากทราบว่ามีวิธีการรักษาแบบอื่นไหมครับ และต้องพบแพทย์ด้านไหน อีกอย่างตอนนี้ผมรุ้สึกปวดกล้ามเนื้อบริเวณขาหนีบแต่ไม่มากเหมือนแต่ก่อนครับ อีกอย่างคือถุงอัณฑะมีลักษณะบวมแดง มีตุ่มเล็กๆขึ้นสีม่วงๆ ครับ

    สวัสดีค่ะ คุณ karrrr,

                       หากได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์แล้วว่าเป็นหูด และเป็นบริเวณหัวหน่าว ก็เรียกว่าเป็นหูดหงอนไก่ ซึ่งเกิดจากการติดเชื้อไวรัส HPV โดยมักติดมาจากการมีเพศสัมพันธ์ 

                        ทั้งนี้ รอยโรคของหูดที่เห็นเป็นติ่ง ประมาณ 1 ใน 3 จะหายไปได้เองโดยไม่ต้องรับการรักษา ภายในระยะเวลา 1 ปี แต่อย่างไรก็ตาม การติดเชื้อ HPV ยังคงมีอยู่ จึงมีโอกาสเป็นรอยโรคซ้ำขึ้นมาได้อีก โอกาสกลับเป็นซ้ำ คิดเป็น 20-30% ของผู้ป่วยทั้งหมด แม้ว่าจะได้รับการรักษาอย่างเหมาะสมแล้วก็ตาม โดยขึ้นกับสภาวะภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยและการลุกลามของรอยโรค โดยมักกลับเป็นซ้ำใน 2-3 เดือน เนื่องจากการรักษาไม่ว่าจะเป็นการใช้ยาหรือการผ่าตัด จะกำจัดเฉพาะรอยโรคออกไป แต่ไม่สามารถกำจัดเซลล์ที่ติดเชื้อ HPV ออกไปได้หมด เพราะมีการติดเชื้อ HPV แบบแฝง  ซึ่งไม่มีรอยโรคให้เห็นในขณะนั้น ทำให้ยังสามารถแพร่เชื้อไปสู่คู่นอน และมีโอกาสติดเชื้อในตนเองซ้ำ ที่บริเวณใกล้เคียงได้

                          ดังนั้น แม้จะรักษาด้วยการจี้ออกด้วยไฟฟ้า ก็อาจมีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีกดังกล่าวไปค่ะ ซึ่งหากเป็นไม่มาก ก็อาจรอให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายกำจัดออกไปเองค่ะ แต่หากต้องการให้รอยโรคหายไป ก็อาจใช้การจี้ไฟฟ้า หรือเลเซอร์หรือผ่าตัดออกซ้ำค่ะ อย่างไรก็ตาม ก็ย่อมมีโอกาสเกิดรอยโรคขึ้นมาได้อีก เพราะเชื้อไวรัสยังไม่ถูกกำจัดออกไปจากร่างกายเราค่ะ

                           สำหรับอาการปวดบริเวณขาหนีบ หากมีการคลำได้ก้อนที่ขาหนีบร่วมด้วย อาจเป็นไส้เลื่อนขาหนีบได้ หรืออาจเป็นต่อมน้ำเหลืองที่โตก็ได้ แนะนำว่าหากยังคงปวดต่อเนื่อง ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจค่ะ

                          ส่วนตุ่มเล็กๆ สีม่วงที่ถุงอัณฑะ อาจเป็นโรคเส้นเลือดผิวหนังอัณฑะโป่งพอง (Angiokeratoma of Fordyce) โดยเกิดจากความผิดปกติของเส้นเลือดฝอยผิวหนังอัณฑะ ทำให้โป่งขึ้นออกมาเป็นตุ่มคล้ายห้อเลือด สีออกม่วงแดง โรคนี้ไม่ถือว่ามีอันตราย และไม่ได้เกิดจากการติดเชื้อ มักพบเมื่ออายุมากขึ้น เนื่องจากหลอดเลือดจะเสื่อมไปตามอายุที่มากขึ้น จึงทำให้เกิดภาวะนี้ขึ้นมา นอกจากนี้แล้ว ก็อาจเกิดจากการเป็นไฝ หรือเนื้องอกของผิวหนังที่ถุงอัณฑะค่ะ อย่างไรก็ตาม โรคเหล่านี้ ไม่น่าทำให้อัณฑะบวมแดงร่วมด้วย ดังนั้น หากอัณฑะมีอาการบวมแดง และเจ็บปวด ก็อาจเกิดจากการอักเสบติดเชื้อจากเชื้อแบคทีเรียหรือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ต่างๆ ได้ หรือเป็นไส้เลื่อนชนิดติดคาก็ได้ แนะนำว่าควรต้องไปพบแพทย์เฉพาะทางเดินปัสสาวะเพื่อตรวจวินิจฉัยค่ะ