การวินิจฉัย งูสวัด
การวินิจฉัยงูสวัดสามารถทำได้ด้วยตนเองในเบื้องตน เพื่อสามารถไปพบแพทย์ได้อย่างทันท่วงที
การวินิจฉัยด้วยตนเอง
หากผู้ป่วยเคยเป็นโรคอีสุกอีใสมาก่อนก็สามารถสังเกตอาการที่แสดงภายในและภายนอก ในเบื้องต้น หากมีผื่นขึ้นที่ผิวหนังพร้อมด้วยอาการปวดและแสบร้อนที่บริเวณผื่นที่ฝั่งใดฝั่งหนึ่งของร่างกาย ร่วมกับอาการไข้ ไม่สบายเนื้อสบายตัว ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อทำการวินิจฉัยอาการอีกครั้งหนึ่ง ทั้งนี้ควรหลีกเลี่ยงการเกา หรือทายาลงบนแผลก่อนมาพบแพทย์
การวินิจฉัยโดยแพทย์
โรคงูสวัดนั้นเป็นโรคที่สามารถวินิจฉัยได้ชัดเจนจากอาการและลักษณะทางผิวหนัง ดังนั้นหากเกิดผื่นและตุ่มน้ำขึ้น แพทย์จะสามารถวินิจฉัยได้ทันที แต่ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่มีผื่นหรือตุ่มน้ำขึ้นตามผิวหนัง การวินิจฉัยจะเป็นไปได้ยากมากขึ้น ทั้งนี้อาการของงูสวัดนั้นอาจทำให้เกิดความสับสนกับโรคเริม บางครั้งก็คล้ายกับโรคติดเชื้อที่ผิวหนัง ผื่นผิวหนังอักเสบ แมลงสัตว์กัดต่อย และผื่นแพ้ยาอีกด้วย ทั้งนี้ แพทย์จะยิ่งวินิจฉัยอาการได้ยากหากเป็นโรคงูสวัดในคนที่มีความผิดปกติทางภูมิคุ้มกันเพราะอาการที่แสดงออกไม่ตรงไปตรงมา ทำให้แพทย์อาจต้องใช้การตรวจทางห้องปฏิบัติการร่วมในการวินิจฉัยด้วย
การวินิจฉัยทางห้องปฏิบัติการที่แพทย์นิยมใช้มีหลายวิธี ดังนี้
- วิธีแซ๊งสเมียร์ (Tzanck smears) วิธีการตรวจจากรอยโรค ด้วยการเจาะตุ่มน้ำแล้วขูดเซลล์บริเวณฐานของตุ่มน้ำไปตรวจ เป็นวิธีที่มีค่าใช้จ่ายไม่สูง และสามารถตรวจได้ในเบื้องต้นทันที แต่วิธีนี้จะไม่สามารถระบุได้ว่าเป็นงูสวัดหรือเป็นแค่เพียงการติดเชื้อเริม
- การย้อมด้วยสีฟลูออเรสเซนต์ (Direct Fluorescent Antibody) เป็นการเก็บตัวอย่างจากผิวหนังบริเวณที่เป็นตุ่มไปย้อมสีเพื่อหาแอนติเจน (Antigen) หรือเชื้อไวรัส วิธีนี้เป็นวิธีการวินิจฉัยที่เร็ว
- วิธีปฏิกิริยาลูกโซ่พอลิเมอเรส (Polymerase Chain Reaction: PCR) เป็นวิธีตรวจหาดีเอ็นเอของเชื้อ วิธีนี้สามารถตรวจได้ในโรงพยาบาลใหญ่ ๆ บางแห่งเท่านั้น
- การตรวจหาภูมิคุ้มกัน (Serologic Methods) เป็นวิธีที่แพทย์มักใช้การตรวจภูมิคุ้มกันที่มีต่อเชื้อไวรัส หากพบก็จะทำให้วินิจฉัยได้ว่าเป็นโรคงูสวัด
หากแพทย์ค่อนข้างมั่นใจแล้วว่าเป็นงูสวัด แพทย์จะทำการรักษาในทันทีโดยไม่รอผลตรวจ เพื่อป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อน