ถามแพทย์

  • ทานยาคุมแล้วมีประจำเดือนมาแค่วันเดียว หยุดทานไป แล้วเริ่มทานใหม่ แล้วมีเลือดออกมา เกิดจากอะไร

  •  Kraiseegad Rattanarat
    สมาชิก
    อายุ 32 ปี ตรวจภายในตอนเดือนมกราต้นปีทุกอย่างปกติ ทานยาคุมแบบ 21 เม็ดมาเป็นเวลา 2 ปีกว่า ประจำเดือนมาวันที่ 19-20 กรกฎา มาวันเดียวเป็นสีชอคโกแลตแล้วหายไปเลย หลังจากนั้นหยุดทานยาคุม และไม่มีเพศสัมพันธ์ จนวันที่ 16 สิงหา มาวันเดียวเหมือนเดิมสีชอคโกแลต และเริ่มทานยาคุมแผงแรกแบบ 21เม็ด เมอซิลอน วันที่ 17สิงหา ตอน 11 โมง จนวันนี้ที่ 23 สิงหา มีเลือดออกนิดหน่อยสีชอคโกแลตเหมือนเดิม จนถึงวันนี้ที่ 1 กันยามีอาการเจ็บเต้านมร่วมด้วย มึนหัวนิดหน่อย ทดสอบตรวจครรภ์ไม่ได้ท้อง แต่สาเหตุเลือดออกแบบนี้เกิดจาดอะไรคะ

    สวัสดีค่ะ คุณ Kraiseegad Rattanarat,

                       การทานยาคุมกำเนิดต่อเนื่องนานๆ อาจมีผลทำให้เยื่อบุโพรงมดลูกบางลงได้ ซึ่งก็มีผลให้เลือดประจำเดือนออกปริมาณน้อยลง ดังที่เป็นอยู่ ไม่ได้อันตรายอะไร

                       และเมื่อหยุดทานยาคุมกำเนิดไปประมาณ 1 เดือน แล้วได้เริ่มทานยาคุมใหม่วันที่ 17 ส.ค. แล้ววันที่ 23 ส.ค. ได้มีเลือดออกมาเล็กน้อย เลือดังกล่าวน่าจะเกิดจากผลข้างเคียงของยาคุมที่ทำให้มีเลือดออกกะปริดกะปรอยได้ ไม่ได้อันตรายอะไร และโดยปกติเมื่อทานยาคุมต่อเนื่องไปซักระยะ อาการเลือดออกกะปริดกะปรอยจะค่อยๆ ลดน้อยลงจนหายไปได้เองค่ะ

                        สำหรับอาการเจ็บเต้านมและมึนหัว ก็น่าจะเกิดจากผลข้างเคียงของยาคุมได้เช่นกัน ซึ่งอาการก็จะค่อยๆ ดีขึ้นเมื่อเวลาผ่านไปค่ะ และอาการดังกล่าวไม่ได้เกิดจากการตั้งครรภ์ เพราะตรวจหาการตั้งครรภ์แล้วไม่พบค่ะ

                        อย่างไรก็ตาม หากอยากให้ประจำเดือนมาเป็นปกติ และไม่ต้องการที่จะคุมกำเนิดแล้ว ก็ควรหยุดทานยาคุมกำเนิดไปค่ะ แต่หากยังต้องการคุมกำเนิดอยู่ ก็จำเป็นต้องทานยาคุมต่อไปค่ะ