-
มีเพศสัมพันธ์แบบชายกับชาย ไม่ได้ใส่ถุงยาง 2 เดือนต่อมา มีไข้ต่ำๆ มีตุ่มอักเสบที่ผิวหนัง เสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV ไหม
-
Aug 26, 2018 at 12:38 AM
ขอเล่าเรื่องลำดับเหตุการณ์ก่อนนะครับ
- ผมมีผื่นที่แขนเหมือนรูขุมขนมันนูนเป็นกลุ่มอยู่แล้วประมาณ 2-3 กลุ่มทีแขน นูนเป็นจุดเล็กๆตามรูขุมขนครับ / คันนิดๆ ถ้าไม่เกาก็ไม่คัน ถ้าได้เกาจะคัน / เป็นมานานแล้ว ไม่รู้เป็นอะไร / ไม่แดง / ไม่มีหัวแค่นูน / บางตุ่มมีหัวแต่เหมือนเป็นไขมันขาวๆ ตามรูขุมขน
- 22 มิ.ย. / ผมเผลอมีเพศสัมพันธ์แบบไม่ป้องกันใน / ผมเป็นฝ่ายถูกสอดใส่ (ช-ช) โดยวันนั้นมีการสอดใส่ 2 ครั้ง / ไม่ได้หลั่งภายในสักครั้ง / แต่ละครั้งที่มีการสอดใส่ระยะเวลาประมาณ 4-5 นาที (ขณะนั้นผมเมาและฝ่ายรุกบอกว่าเค้าปลอดภัยและทาน Prep)
- จากนั้น 1 อาทิตย์ / ผมมีไข้ต่ำ 2 วัน แล้วหายเป็นปกติ
- ระยะเวลาช่วงนี้ไม่มีอาการใดเลย ไม่มีต่อมน้ำเหลืองอักเสบ, ไม่มีเหงือออกกลางคืน, ไม่มีผื่นส่าไข้หรือออกหัด, ท้องเสีย(ผมเป็นคนถ่ายเหลวบ่อยอยู่แล้วจุดนี้สังเกตไม่ได้เลย แต่ก็ไม่เคยติดต่อกันเกิน 2 วัน), ไม่เมื่อยตามตัว(มีบ้างเวลาทำกิจกรรมที่ใช้แรงเยอะ), ไม่เจ็บคอ, ไม่แขนขาชาอ่อนแรง(เว้นแต่เหน็บชาเวลานั่งไขว้ขานานๆ)
- 15 ส.ค. (7 สัปดาห์ 5 วัน จากวันนั้น)/ ปวดหัวมึนหัว / คิดว่าเครียดจากงานและนอนน้อย
- 16 ส.ค. / เพลีย อาจเพราะนอนน้อย
- 17 ส.ค. / มีอาการตัวร้อนไม่มากเหมือนไข้ / โดนฝนมาก่อนหน้า / แต่ไม่เจ็บคอ/ไม่มีเสมหะ/ไม่ไอ/ไม่มีผื่น
- 18 ส.ค. / มีอาการไข้ต่ำ / เพลียๆ / พักผ่อนน้อย, เดินทางไกล
- 19 - 20 ส.ค. / ตัวร้อนนิดๆ เพื่อนแตะตัวมักจะถามว่าทำไมตัวร้อน ปวดหัว,ปวดท้องหรอ
- 21 ส.ค. / ช่วงเช้า ตุ่มที่กล่าวในตอนต้น มันเริมคัน และชัดมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้แดงหรืออะไร / ช่วงเย็น พบว่ามีกลุ่มของตุ่มรูขุมขนขึ้นหลายกลุ่มที่แขน เฉพาะที่แขน ทั้ง 2 ข้าง คันและแสบหน่อยๆ / ยังคงมีอาการตัวร้อนต่ำๆอยู่ตลอด / คิดว่าแพ้อะไรจึงทานยาแก้แพ้
- 22 ส.ค. / ตุ่มไม่ชัดเจนเท่าก่อนหน้า แต่ตุ่มทั้งหมดยังคงอยู่ แต่ไม่ได้ชัดเจนเท่าเดิม / ตัวร้อนต่ำๆยังคงมีอยู่ / มีตุ่มเหมือนยุงกัด บ้าง 2-3 จุด
- 23 - 26 ส.ค. / ตุ่มจางลงไปนิดหน่อย แต่ก็ยังมีอยู่ถ้าสังเกตเห็นได้ชัดเจน / อาการตัวร้อนค่อยๆ หายไป จนปกติดี / ตลอดระยะเวลามีถ่ายเหลวบางวัน / แต่ตุ่มยังคงเดิมมาหลายวันแล้ว
-----------------------------
คำถามคือ
1 ผมมีความเสี่ยงมากเพียงใดต่อ HIV จากอาการที่ปรากฏ
2 ตุ่มหรือผื่น จากการติด HIV ระยะแรก(เฉียบพลัน) เป็นอย่างไร และระยะเวลาของการเกิดตุ่มนั้นจะเกิดตอนไหน เห็นหลายแหล่งบอก 1-4 สัปดาห์/ ผมมีตุ่มตอน 8 สัปดาห์ และมันเป็นแค่ที่แขน 2 ข้างไม่มีส่วนอื่นเลย แต่ก็กังวลมาก / ผมคิดว่าไม่ใช่ PPE เพราะมันต้องระยะนานกว่านี้และตุ่มไม่เหมือนกัน / จึงอยากทราบอาการของตุ่มว่าเป็นกลุ่มอาการของ HIV เริ่มแรกหรือไม่ครับ
ใจผมกลัวมากเครียดมาก รบกวนคุณหมอช่วยตอบคำถามด้วยครับ
Aug 28, 2018 at 08:50 AM
สวัสดีคะคุณ bygon_107
การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ป่วยติดเชื้อ เอส ไอ วีแบบที่ไม่ได้ป้องกันเลยนะค่ะ อัตราที่จะไม่ติดเชื้อน้อยกว่า 1% ค่ะ ดังนั้นตอนนี้หมอเกรงว่าคุณอาจจะอยู่ในช่วงของ window period คือ การตรวจไม่พบเชื้อค่ะ แต่อย่างไรก็ตามการตรวจเลือดซ้ำมีความจำเป็นมากค่ะ
ตอนนี้ถ้ายังตรวจไม่พบหมอแนะนำเรื่องการรับประทานยาต้านไวรัสก่อนค่ะ 28 วันและแนะนำเรื่องการป้องกันค่ะ ถ้าจะมีเพศสัมพันธ์แนะนำสวมถุงยางอนามัยค่ะ
ส่วนสิ่งที่คุณต้องทำคือ คุณต้องทราบก่อนว่า คุณควรที่จะได้พบแพทย์เมื่อไหร่เพื่อตรวจว่าคุณมีการติดเชื้อหรือไม่
ก่อนอื่นเราต้องทำการตรวจระยะแรกก่อน ซึ่งเป็นการตรวจ ที่เรียกว่าการตรวจควบคู่ ระหว่าง HIV antibody และ HIV antigen คือการตรวจหาภูมิคุ้มกันและตัวเชื้อควบคู่กัน การตรวจนี้ในคนส่วนใหญ่สามารถตรวจพบได้ภายใน 2-6 สัปดาห์ หลังจากสัมผัสเชื้อ
แต่ถ้าตรวจเฉพาะ HIV antibody testing ตรวจได้ทั้งจากเลือดและจากน้ำลาย ส่วนใหญ่จะตรวจพบ หลังการสัมผัสเชื้อ ภายในระยะเวลา 3-12 สัปดาห์
หรืออาจจะตรวจ p24 antigen ซึ่งตรวจน้อย และการแปลผลอาจถูกรบกวนได้ด้วยตัวแปรอื่น
ถ้าการตรวจข้างต้นอย่างใดอย่างหนึ่งให้ผลบวก จะต้องมีการตรวจครั้งที่สอง เพื่อยืนยัน โดยการตรวจภูมิคุ้มก้น ซึ่งแตกต่างจากการตรวจแรกถ้าให้ผลบวกอีกครั้ง ให้ตรวจครั้งที่สาม เพื่อจำนวย ไวรัส ซึ่งเรียกว่า HIV RNA test ซึ่งสามารถตรวจหาได้ภายใน 1-4 สัปดาห์หลังการติดเชื้อ
ลักษณะอาการที่จะเกิดขึ้นถ้ามีการติดเชื้อไวรัส เอช ไอ วี แบ่งเป็น 3 ระยะ
ระยะแรก เรียกว่า การติดเชื้อระยะแรก ( acute HIV infection stage ) ซึ่งระยะนี้ อาการจะเกิดขึ้นได้ ภายใน 2-4 สัปดาห์ ลักษณะอาการจะมีลักษณะเหมือนการติดเชื้อไวรัสทั่วไป จะมาด้วยอาการไข้ ปวดตามตัว เจ็บคอ มีผื่น ปวดตามข้อ ถ้าคุณมีอาการดังต่อไปนี้ควรจะรีบไปพบแพทย์โดยด่วน ซึ่งในกรณีของคุณหมอขอแนะนำว่าคุณควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจยืนยัน ในระยะนี้ไวรัสจะมีจำนวนมากดังนั้นควรหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ไม่ควรใช้สารเสพติดที่ฉีดเข้าเส้นเลือดโดยใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่น
ระยะต่อมา จะเป็นระยะที่ไวรัสเริ่มจะอาศัยอยู่ในตัวคนไข้ แต่จะไม่แสดงอาการอะไร เรียกว่า clinical latency stage ซึ่งคือจำนวนไวรัสอาจจะไม่ได้มีมากและระยะนี้อาจยาวนานได้ถึง 10 ปี แต่ระยะยังมีการแพร่กระจายของโรคได้
ระยะสุดท้ายระยะที่เรียกว่า เอดส์ (AIDS) ซึ่งระยะนี้ระดับภูมิคุ้มกันจะต่ำมากทำให้มีโอกาสติดเชื้อฉวยโอกาสได้ขึ้นอยู่กับจำนวน CD 4 ที่เหลืออยู่
ปัจจุบันมียาต้านไวรัสหลายกลุ่มให้เรียกใช้ ดังนั้น ถ้าคุณตรวจพบแต่เนิ่น ๆ และ รักษาอย่างรวดเร็ว และไม่เพิ่มภาวะเสี่ยง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์สะอาด และ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้คุณสามารถมีคุณภาพชีวิตที่ดีได้
นอกเหนือจากการติดเชื้อ เอช ไอ วี แล้วคุณควรได้รับการตรวจเพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีการติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์อย่างอื่นร่วมด้วย เช่น ไวรัสตับอักเสบ บี ซี และ โรคซิฟิลิส เป็นต้น
มาสรุปวิธีการเรื่องของการติดเชื้อ HIV ก่อนนะค่ะ
การตรวจจะแบ่งออกเป็นดังนี้ค่ะ
-
Antibody tests เป็นการตรวจหา ภูมิที่ถูกสร้างขึ้น จากเชื้อที่มีในร่างกายค่ะ จะต้องรอเวลาประมาณ 3-12 สัปดาห์ที่ภูมิจะขึ้นค่ะ
- Combination tests (antibody/antigen tests) การตรวจอย่างนี้เป็นการตรวจหาทั้งตัวไวรัส และ ภูมิที่สร้างขึ้น อาจจะใช้เวลาประมาณ 2-6 สัปดาห์
- NATs คือ การตรวจหาตัวเชื้อไวรัส ใช้เวลา 7-28 วันในการที่จะสามารถหาเชื้อเจอ
การตรวจที่ทำได้ที่บ้าน
-
-
ถามแพทย์
-
มีเพศสัมพันธ์แบบชายกับชาย ไม่ได้ใส่ถุงยาง 2 เดือนต่อมา มีไข้ต่ำๆ มีตุ่มอักเสบที่ผิวหนัง เสี่ยงต่อการติดเชื้อ HIV ไหม