ตุ่มคล้ายสิวอักเสบ บริเวณโคนอวัยวะเพศ กดแล้วเจ็บนิดๆ เป็นมา 3-4 วัน เกิดจากอะไร รักษาอย่างไร

สวัสดีค่ะ คุณ Hooligan1253,

                   ตุ่มคล้ายสิวอักเสบบริเวณโคนอวัยวะเพศชายดังกล่าว อาจเป็น

                   1. รูขุมขนที่อักเสบ จากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเชื้อรา มักมีลักษณะเป็นตุ่มแดง และมักเกิดขึ้นหลายตุ่ม อาจมีหนองเกิดขึ้น จะมีอาการเจ็บ และคันร่วมด้วย

                      หากเป็นไม่มาก การรักษาคือให้ฟอกทำความสะอาดด้วยสบู่ฆ่าเชื้อ ใช้ยาปฏิชีวนะที่เป็นชนิดทา เช่น มิวพิโรซิน (mupirocin) ทาวันละ 2-3 ครั้ง หลีกเลี่ยงการโกนและถอนขน หากจำนวนตุ่มมีปริมาณมากขึ้น กลายเป็นหัวหนอง ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินและทานยาปฏิชีวนะค่ะ

                   2. ผื่นแพ้สัมผัส จากสารเคมีที่ไปสัมผัสโดนผิวหนังบริเวณนั้น เช่น แป้ง โลชั่น น้ำหอม เป็นต้น แต่มักจะมีอาการคันร่วมด้วย หรืออาจเกิดจากแมลงสัตว์กัดต่อยก็ได้

                    3.โรคเริมที่อวัยวะเพศ เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์  แต่จะเห็นเป็นตุ่มน้ำใส ขนาดเล็กๆ หลายๆตุ่ม อยู่ติดๆ กันเป็นกลุ่ม และจะมีอาการปวด เจ็บๆแสบๆ อาจร่วมกับอาการคัน ต่อมาตุ่มน้ำจะแตกออกเป็นแผลตื้นๆ แล้วจึงแห้งและตกสะเก็ดหายไปได้เอง

                    4. หูดข้าวสุก เกิดจากการติดเชื้อไวรัส molluscum contagiosum virus ซึ่งติดต่อจากการสัมผัสผิวหนังที่มีรอยโรคโดยตรง ลักษณะคือเป็นตุ่มนูนสีเหลืองหรือสีเนื้อ ผิวเรียบเป็นมันคล้ายไข่มุก ตรงกลางมีรอยบุ๋ม เมื่อกดหรือบีบให้แตก จะมีเนื้อเละ ๆ สีขาวคล้ายข้าวสุกไหลออกมา มักไม่มีอาการเจ็บหรือคัน แต่ในบางครั้งอาจมีอาการบวมแดงอักเสบร่วมด้วย

                     5. ซีสต์ไขมันผิวหนังขนาดเล็ก (sebaceous cyst หรือ epidermal inclusion cyst) จะคลำได้เป็นก้อนหรือตุ่มนิ่มๆ อาจพบรูเปิดจากก้อน หากบีบออกอาจเห็นมีสารสีขาวคล้ายเนย มีกลิ่นเหม็น 

                     6. ก้อนเนื้องอกของชั้นผิวหนังหรือชั้นเนื้อเยื่อใต้ผิวหนัง เช่น ก้อนไขมันเป็นต้น  

                     ในเบื้องต้นให้พยายามหลีกเลี่ยงสิ่งต่างๆ ที่นำมาใช้บริเวณผิวหนังที่อวัยวะเพศหรือใกล้อวัยวะเพศไป ที่อาจก่อให้เกิดการแพ้และระคายเคืองไปก่อน เช่น การใช้แป้ง สบู่ที่รุนแรง น้ำหอม เป็นต้น และควรรักษาความสะอาด อาจใช้สบู่สำหรับฆ่าเชื้อฟอก แล้วล้างให้สะอาด หลีกเลี่ยงการโกนหรือถอนขน ไม่ไใส่กางเกงชั้นในและกางเกงที่รัดแน่นจนเกินไป เป็นต้น หากตุ่มไม่หายไป หีือมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น กลายเป็นหัวหนองหรือแผล ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจค่ะ