Ceftriaxone (เซฟไตรอะโซน)
Ceftriaxone (เซฟไตรอะโซน) เป็นยาปฏิชีวนะในกลุ่มยาเซฟาโลสปอริน (Cephalosporin) ที่ออกฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียด้วยการทำลายผนังเซลล์ทำให้แบคทีเรียตาย ใช้ในผู้ป่วยที่มีการติดเชื้อแบคทีเรียกระจายลุกลามไปทั่ว เช่น การติดเชื้อในอุ้งเชิงกราน โรคหนองในแท้ เยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือการติดเชื้อแบคทีเรียในหู ปอด ช่องท้อง ทางเดินปัสสาวะ ข้อต่อ กระดูก กระแสเลือด เป็นต้น และในบางครั้งแพทย์ก็ฉีด Ceftriaxone เพื่อป้องกันการติดเชื้อก่อนจะทำการผ่าตัดรักษาผู้ป่วยด้วย
เกี่ยวกับยา Ceftriaxone
กลุ่มยา | ยาปฏิชีวนะ |
ประเภทยา | ยาตามใบสั่งแพทย์ |
สรรพคุณ | ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย |
กลุ่มผู้ป่วย | เด็กและผู้ใหญ่ |
รูปแบบของยา | ยาฉีดเข้ากล้ามเนื้อ ยาฉีดเข้าเส้นเลือด |
คำเตือนของการใช้ยา Ceftriaxone
- ผู้ที่มีประวัติการแพ้ยาทุกชนิดควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนการใช้ยา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แพ้ยาในกลุ่มยาปฏิชีวนะ เช่น เซฟาเลกซิน (Cephalexin) เซฟโพรซิล (Cefprozil) อะม็อกซี่ซิลิน (Amoxicillin) และไอมิเพเนม (Imipenem)
- ห้ามใช้ยาในเด็กแรกเกิดที่มีอายุน้อยกว่า 29 วัน ซึ่งมีภาวะดีซ่าน หรือมีภาวะตัวเหลืองในเด็กแรกเกิด
- ห้ามใช้ยาในเด็กแรกเกิดที่กำลังได้รับ หรือแพทย์คาดว่าควรได้รับการฉีดยารักษา ซึ่งมีส่วนประกอบของแคลเซียมอยู่ในตัวยา
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากผู้ป่วยแพ้อาหารหรือแพ้สารชนิดใดอยู่ หรือแพ้อาหารใด รวมทั้งผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากข้าวโพด
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากผู้ป่วยกำลังวางแผนมีบุตร กำลังตั้งครรภ์ หรือผู้ที่กำลังให้นมบุตร เพราะการใช้ยาอาจส่งผลต่อทารกต่อไปได้
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากผู้ป่วยกำลังใช้ยา อาหารเสริม หรือกำลังได้รับการรักษาชนิดใดอยู่ โดยเฉพาะยาหรืออาหารเสริมที่มีส่วนประกอบของแคลเซียม
- ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากผู้ป่วยเคยมีประวัติป่วยด้วยโรคเกี่ยวกับตับหรือไต หรือเคยมีปัญหาสุขภาพอื่น ๆ เช่น ลำไส้อักเสบ ติดเชื้อ หรือเคยท้องร่วง ลิ่มเลือดอุดตัน โรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี โรคเบาหวาน เป็นต้น
- หากใช้ยาติดต่อกันเป็นเวลานาน อาจทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยาได้
- การใช้ยานี้อาจกระทบต่อผลการทดสอบต่าง ๆ ที่ส่งตรวจในห้องปฏิบัติการ ดังนั้น ควรแจ้งให้แพทย์และเจ้าหน้าที่ห้องปฏิบัติการทราบเสมอหากกำลังใช้ยารักษาตัวนี้อยู่
- Ceftriaxone ออกฤทธิ์กำจัดเชื้อแบคทีเรีย แต่ไม่มีผลต่อการรักษาการติดเชื้อจากไวรัส
ปริมาณการใช้ยา Ceftriaxone
การรักษาโรคหนองในชนิดไม่มีภาวะแทรกซ้อน
- ผู้ใหญ่ ฉีดยาเข้ากล้ามเนื้อ 250 มิลลิกรัม เพียงเข็มเดียว
การรักษาภาวะติดเชื้อ
- ผู้ใหญ่ ฉีดยาเข้าเส้นเลือด 1 กรัม หรือใช้วิธีหยดยาเข้าสู่กระแสเลือดอย่างช้า ๆ 2-4 นาที ในรายที่มีการติดเชื้อรุนแรง เพิ่มปริมาณเป็น 2-4 กรัม ทุกวัน วันละครั้ง
- เด็ก อายุ 12 ปี หรือต่ำกว่า ฉีดยาเข้าเส้นเลือดที่ความเข้มข้นยา 20-50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม วันละครั้ง หรือ 80 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ในรายที่มีการติดเชื้อรุนแรง หากให้ยา ≥50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ควรหยดเข้าสู่กระแสเลือดอย่างช้า ๆ อย่างน้อย 30 นาที
- เด็กแรกเกิด ปริมาณยาสูงสุด 50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม เข้าสู่กระแสเลือดอย่างช้า ๆ ให้นานกว่า 60 นาที ต่อวัน
การป้องกันการติดเชื้อหลังการผ่าตัด
- ผู้ใหญ่ ฉีดยาเข้าเส้นเลือด 1 กรัม เพียงเข็มเดียว หรือใช้วิธีหยดยาเข้าสู่กระแสเลือดอย่างช้า ๆ 2-4 นาที ประมาณ 0.5-2 ชั่วโมงก่อนการผ่าตัด ในรายที่ต้องผ่าตัดลำไส้ใหญ่ แพทย์จะฉีดยาเข้าเส้นเลือด 2 กรัม เพียงเข็มเดียว
การใช้ยา Ceftriaxone
ปกติแล้ว ยา Ceftriaxone จะมีสีเหลืองหรือเหลืองอำพัน ต้องไม่ใช้ยาหากยานั้นเปลี่ยนเป็นสีขุ่นหรือสีใส และไม่ใช้ยาหากภาชนะที่บรรจุยาแตกหรือมีการบุบสลาย โดยยาชนิดนี้ควรเก็บรักษาไว้ที่อุณหภูมิ 20-25 องศาเซลเซียส ในที่ที่พ้นจากแสงแดด
ในประเทศไทย Ceftriaxone จะถูกฉีดเพื่อรักษาอาการป่วยโดยแพทย์ในโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลเท่านั้น แพทย์จะสั่งจ่ายยาโดยพิจารณาฉีดเข้าตามอาการหรือชนิดของโรคเป็นหลัก รวมถึงการพิจารณาอายุ ประวัติการแพ้ยา และการตอบสนองของผู้ป่วย อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรแจ้งให้แพทย์ทราบถึงประวัติทางการแพทย์ต่าง ๆ ที่สำคัญก่อนใช้ยา
ในระหว่างการรักษาภาวะติดเชื้อที่ยืดเยื้อและต้องใช้เวลานาน แพทย์อาจต้องตรวจเลือดเป็นระยะ เพื่อรักษาอาการป่วยอย่างเหมาะสม รักษาระดับสารต่าง ๆ ในร่างกายให้เป็นปกติ และคอยเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนจากอาการป่วย หรือผลข้างเคียงต่าง ๆ จากการใช้ยาที่อาจเกิดขึ้นไปด้วย
ทั้งนี้ ต้องใช้ยารักษาผู้ป่วยจนครบตามปริมาณที่เหมาะสมกับอาการป่วย หากหยุดใช้ยากะทันหันหรือไม่ครบตามปริมาณที่กำหนด อาจทำให้เชื้อแบคทีเรียดื้อยา ยากต่อการรักษาให้ได้ผลต่อไปในอนาคต
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Ceftriaxone
การใช้ยา Ceftriaxone อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้ เช่น มีอาการบวมแดง เจ็บปวดในบริเวณที่ถูกฉีดยา ท้องร่วง หรือคลื่นไส้อาเจียนเล็กน้อย แต่หากอาการที่เป็นผลข้างเคียงปรากฏขึ้นและไม่หายไป อาการทรุดหนักลง ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ หรือไปพบแพทย์เพื่อทำการตรวจรักษาทันทีเมื่อมีอาการป่วยที่รุนแรงขึ้น เช่น
- ผิวหนังบริเวณที่ฉีดยาเกิดความเจ็บปวดมาก กดแล้วเจ็บ เป็นก้อนแข็ง หรือรู้สึกร้อน
- ผิวซีด อ่อนเพลีย หายใจถี่ หายใจไม่อิ่ม
- มีไข้ เจ็บคอ หนาวสั่น หรือมีอาการที่เป็นสัญญาณของการติดเชื้อ
- มีอาการแพ้ เช่น ผดผื่นขึ้นตามผิวหนัง หายใจลำบาก หน้าบวม ปากบวม ลิ้นบวม กลืนอาหารไม่ได้
- ผิวลอก เป็นตุ่มพอง
- รู้สึกแสบร้อนกลางอก เจ็บหน้าอก
- คลื่นไส้ อาเจียน
- ปวดท้อง ชาบริเวณท้อง ท้องอืด ท้องเฟ้อ
- เจ็บปวดขณะปัสสาวะ ปัสสาวะน้อยลง หรือปัสสาวะบ่อยมากกว่าปกติ
- ปัสสาวะมีเลือดปน มีสีน้ำตาล แดง ขุ่น หรือมีกลิ่นเหม็น
- ท้องร่วงมาก ถ่ายเหลวมาก หรือถ่ายเป็นเลือด
- เจ็บปวดอย่างรุนแรงบริเวณข้าง ๆ หรือหลังบริเวณบั้นเอว
- มีภาวะดีซ่าน (ตัวเหลืองตาเหลือง)
- มีอาการชัก