ถามแพทย์

  • มีท้องเสียมา 3 สัปดาห์ มีอาการปวดทวารหนัก ได้ใช้ยาเหน็บรักษาริดสีดวง อาการทุเลาลง เป็นริดสีดวงไหม

  •  nattapat
    สมาชิก

    ประมาณ3อาทิตย์ที่ได้ท้องเสียและเข้าห้องน้ำบ่อยจนมีอาการคล้ายริดสีดวงจึงไปซื้อยาเหน็บริดสีดวงมาใช้อาการก็เลยหายไป หลังจากนั้น3อาทิตย์อยู่ดีๆก็มีอาการปวดจุดนึงแถวทวารหนักเลยกลับมาใช้ยาเหน็บอีกครั้งอาการก็จะทุเลาลงแต่จะกลับมาปวดอีกครั้งหลังจากขับถ่ายตอนนี้เลยอยากรู้ว่าอาการนี้เป็นอาการริดสีดวงหรือว่าเป็นอาการอื่นครับ ส่วนอุจจาระปกติครับไม่มีเลือดออกมาด้วย

     สวัสดีค่ะ คุณ Nattapat,

                        อาการปวดรูทวารหนัก อาจเกิดจากการเป็นโรคแผลปริขอบทวารหนัก (anal fissure) ได้ ซึ่งสาเหตุ ได้แก่ การมีอุจจาระที่แข็ง หรือก้อนใหญ่จนไปครูดบาดเยื่อบุผิวของทวารหนักจนเกิดเป็นแผล หรือมีถ่ายอุจจาระเหลวบ่อย ทำให้การทำงานของกล้ามเนื้อหูรูดทวารหนักมากกว่าปกติจนเกิดฉีกขาด หรือจากการร่วมเพศทางทวารหนัก หรือการใส่นิ้วหรือสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในทวารหนัก อาการคือจะเจ็บ ปวด แสบรูทวาร อาจร่วมกับมีเลือดสีแดงสดออกมาเล็กน้อยได้ หากเป็นเรื้อรัง เยื่อบุผิวรอบๆ แผลที่ทวารหนักนี้จะหนาตัวขึ้น ทำให้มีลักษณะเป็นติ่งหรือตุ่มเนื้อขึ้นมาได้

                    นอกจากนี้แล้ว อาจเกิดจากโรคริดสีดวงทวารชนิดภายนอก แต่จะคลำได้เป็นก้อนหรือเป็นติ่งเนื้อยื่นออกมากจากรูทวารหนักร่วมด้วย ไม่ได้ทำให้เกิดเลือดออกเหมือนริดสีดวงภายใน แต่จะทำให้มีอาการเจ็บ และปวดได้ 

                   ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่อาจทำให้เกิดอาการปวดได้อีก เช่น ซิฟิลิส หรือหนองใน ซึ่งเกิดจากจากการร่วมเพศทางทวารหนักหรือเป็น วัณโรค มะเร็งที่ทวารหนัก เป็นต้น 

                   ดังนั้น หากก่อนหน้านี้มีประวัติท้องเสียนาน 3 สัปดาห์ แล้วต่อมาเกิดอาการปวดรูทวารหนัก ก็น่าจะเกิดจากโรคแผลปริขอบทวารหนักได้ ทั้งนี้ ก็ควรดูแลอย่าให้เกิดอาการท้องเสียอีก โดยทานอาหารที่ปรุงสุกใหม่ สะอาด ไม่ทานอาหารรสจัด ไม่ทานเผ็ด เป็นต้น และหากในตอนนี้มีอาการปวดขึ้นมาอีก ก็อาจใช้วิธีการนั่งแช่ก้นในน้ำอุ่นจัดวันละ 2-3 ครั้ง ครั้งละ 15-30 นาที ซึ่งจะช่วยลดอาการเจ็บ ปวดได้ นอกจากนี้ ก็ไม่ควรเบ่งถ่ายอุจจาระ ไม่นั่งถ่ายอุจจาระนาน และอาจใช้ยาเหน็บที่ใช้รักษาโรคริดสีดวงทวาร นำมาใช้บรรเทาอาการเจ็บและรักษาแผลได้ด้วยเช่นกัน  เช่น พรอกโตซดิล (proctosedyl), โดพรอก (doproct) เป็นต้น แต่หากอาการไม่ดีขึ้น ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาค่ะ