ถามแพทย์

  • ประจำเดือนขาดมา 5 วัน ตรวจหาการตั้งครรภ์ไม่พบ ได้มีลดน้ำหนักลงไปมาก จะท้องไหม

  •  Khra Iu
    สมาชิก
    รอบเดือนล่าสุดมาวันที่ 24-27/11/63 มีเพศสัมพันธ์แต่ไม่ได้มีการสอดใส่ ใช้เพียงแค่นิ้ว ในวันที่ 29/11,3/12,6/12,19/12 ** แต่ยกเว้นในวันที่26/11( ในระหว่างมีประจำเดือน) มีการสอดใส่อยู่1-2นาที **(ใช้หลักหน้า7หลัง7ในการคำนวน) ปัจจุบันประจำเดือนขาดมาแล้ว5วัน เป็นคนรอบเดือนมาสม่ำเสมอปกติทุก 28-29 หยุดยาคุมมาได้4เดือนกว่า เดือนที่แล้ววันที่11/11จนถึงเดือนนี้อยู่ในระหว่างลดน้ำหนัก ซึ่งลดน้ำหนักลงมาจาก 62 เหลือ 53 หลังประจำเดือนขาด3วัน (24/12) ได้มีการทดสอบการตั้งครรภ์ ผลออกมาเป็นลบ ดิชั้นมีโอกาสในการตั้งครรภ์มากน้อยแค่ไหนคะ ถ้ามีโอกาสควรตรวจปัสสาวะอีกครั้งเมื่อไหร่ หรือตรวจเลือดได้เลยไหมคะ ช่วงนี้มีอาการมีลมในท้อง ท้องอืดบ่อยค่ะ ขอบคุณค่ะ

    สวัสดีค่ะ คุณ Khra Iu,

                             การมีเพศสัมพันธ์ โดยใช้แค่นิ้วสอดใส่ในวันที่ 29 พ.ย. และ 3, 6, 19 ธ.ค. ไม่ได้ทำให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ค่ะ

                             ส่วนการมีเพศสัมพันธ์ในวันที่ 26 พ.ย. ซึ่งเป็นวันที่ 3 นับจากวันแรกที่มีประจำเดือนมา ถือว่ายังอยู่ในระยะปลอดภัย โอกาสที่จะตั้งครรภ์นั้นมีน้อยมากมาก คือน้อยกว่า 1% ค่ะ

                              สำหรับการที่ประจำเดือนยังไม่มา หากได้ตรวจหาการตั้งครรภ์ดูแล้ว ไม่พบการตั้งครรภ์ ก็แสดงว่าไม่ได้มีการตั้งครรภ์เกิดขึ้นค่ะ ดังนั้น การที่ประจำเดือนยังไม่มา ก็จะเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น มีความเครียด ทำงานหนัก ออกกำลังกายมากไป พักผ่อนน้อย อดนอน นอนดึก อดอาหาร มีน้ำหนักลด หรือมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเร็ว มีการเจ็บป่วยไม่สบาย เป็นต้น ทั้งนี้ หากน้ำหนักได้ลดลงไปถึง 9 กิโลกรัม ก็น่าจะเป็นสาเหตุได้ค่ะ อย่างไรก็ตาม น้ำหนักที่ลดลงไป 9 กิโลกรัมภายใน 1-2 เดือน ถือว่าลดลงเร็วมากผิดปกติ ซึ่งอาจส่งผลเสียต่อร่างกายได้ เช่น สูญเสียมวลกล้ามเนื้อ มีภาวะขาดสารอาหาร สมดุลเกลือแร่เสียไป เป็นนิ่ว เกิดภาวะไขมันพอกตับ กระดูกบาง รวมถึงทำให้ประจำเดือนมาผิดปกติได้ เป็นต้น ดังนั้น ควรหยุดการลดน้ำหนัก และควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกายด้วยค่ะ

                             สำหรับอาการมีลมในท้อง ท้องอืดบ่อย อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบ เป็นนิ่วในถุงน้ำดี (ซึ่งเกิดจากการลดน้ำหนักลงเร็วได้) การทานอาหารที่ทำให้เกิดแก๊สในทางเดินอาหาร เช่น ชา กาแฟ น้ำอัดลม เป็นต้น การมีท้องผูก การมีความเครียด วิตกกังวล เป็นต้น ในเบื้องต้น แนะนำควรทานอาหารให้ครบ 3 มื้อตามปกติ โดยทานอาหารที่มีประโยชน์ ย่อยง่าย ไม่ดื่มชา กาแฟ น้ำอัดลม แอลกอฮอล์ ไม่ทานอาหารรสจัด เป็นต้น หากอาการไม่ดีขึ้น ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อรักษาค่ะ