ถามแพทย์

  • ปวดกรามช่วงติ่งหู จับแล้วมีเม็ดกลมๆ เล็กๆ ใช่ซีสต์ไหม แล้วมีอาการจุึกลิ้นปี่ร้าวไปหลัง เป็นอะไร

  •  هدى محمد يوسف
    สมาชิก
    1 ปวดช่วงก้ามข้างติ่งหู​ พอตับดูมีเม็ดกลมๆเล็กๆ​ อยากทราบว่าใช่ซีสไหมค่ะ​ ถ้าใช่​ ควรทานยาอะไร​ หรือปฏิบัติตัวอย่างไร​ เพราะช่วงนี้ไม่อยากไปที่​โรงพยาบาลเลยค่ะ 2 จากที่เคยถามคุณหมอไปว่าปวดบริเวณลิ้นปี่ใต้อก และปวดร้าวไปยันหลังเลย​ นี่ใช่อาการกรดไหลย้อนไหมค่ะ​ เพราะกินยาลดกรดอาการดีขึ้น​ 2-3​ วันก็มีอาการเดิมอีก

    สวัสดีค่ะ คุณ هدى محمد يوسف,

                       เม็ดกลมๆ เล็กๆ ที่อยู่บริเวณข้างติ่งหู อาจเป็น

                      - แผลเป็นชนิดนูน หรือคีลอยด์ ซึ่งจะเกิดจากเคยเป็นแผลบริเวณข้างหูมาก่อน ไม่ว่าจะแผลยุงกัด แมลงกัด โดนของแหลมทิ่ม หรือแผลขนาดเล็กอื่นๆ สีมักออกแดงอมม่วง หากเป็นไม่นาน มักจะคลำได้ค่อนข้างนิ่ม แต่หากเป็นนานแล้ว ก้อนมักแข็ง และมักมีอาการคันร่วมด้วย 

                      - การอักเสบของเนื้อเยื่อ (cellulitis) จากการติดเชื้อ อาการคือ ผิวหนังจะบวมแดง ทำให้คลำได้เป็นก้อนนูน มีเจ็บและปวด อาจมีไข้ หรือปวดเมื่อยตัวร่วมด้วยได้ หากการอักเสบของเนื้อเยื่อเป็นมากขึ้น ก็อาจกลายเป็นฝี ซึ่งจะเห็นหัวสีออกขาว หากมีรูเปิด ก็จะเห็นหนองไหลออกมา 

                      -  ก้อนซีสต์หรือก้อนถุงน้ำ ลักษณะของก้อนจะนิ่ม และกดไม่เจ็บ สีเหมือนผิวหนังปกติ แต่หากมีการอักเสบติดเชื้อเกิดขึ้น ก้อนอาจมีลักษณะแข็ง บวม แดง กดเจ็บและปวดได้

                       - ก้อนเนื้องอกของชั้นผิวหนังหรือชั้นใต้ผิวหนังชนิดต่างๆ เช่น ก้อนเนื้ององไขมัน   

                       -  ต่อมน้ำเหลืองโต ซึ่งมักมีอาการกดเจ็บเล็กน้อยได้ มักเกิดจากการติดเชื้อบริเวณใกล้เคียง เช่น มีแผลบริเวณหนังศีรษะ ใบหูหรือหูชั้นนอกของข้างนั้นอักเสบ

                        หากเม็ดที่ข้างติ่งหูไม่หายไป หรือโตขึ้น หรือมีอาการปวดมากขึ้น ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจค่ะ ในเบื้องต้น ก็ไม่ควรไปบีบ แกะ หรือเกาตุ่มดังกล่าวค่ะ

                        สำหรับอาการจุกที่ลิ้นปี่ ร้าวไปหลังนั้น อาจเกิดจากสาเหตุ 

                      1.โรคกระเพาะอาหารอักเสบ  ซึ่งจะทำให้มีอาการปวดบริเวณท้องส่วนบน อาจเป็นบริเวณลิ้นปี่ลงไปถึงเหนือสะดือหรือปวดค่อนไปทางด้านซ้าย อาจปวดแบบจุกแน่น หรือแสบร้อน และปวดร้าวทะลุไปหลังได้ นอกจากนี้อาจมีอาการท้องอืด อาหารไม่ย่อย อิ่มเร็ว เรอบ่อย คลื่นไส้ อาเจียน เป็นต้น

                      2.โรคกรดไหลย้อน อาการจะคล้ายๆ กับกระเพาะอาหารอักเสบ แต่จะมีอาการแสบร้อนกลางอกหรือแน่นหน้าอกร่วมด้วย หรือมีน้ำรสเปรี้ยวหรือขมในคอ หรือเจ็บคอ ระคายเคืองคอ เป็นต้น

                       3. นิ่วในถุงน้ำดี ซึ่งมักจะทำให้เกิดอาการปวดท้องบริเวณช่องท้องส่วนบนหรือด้านขวา และมักปวดร้าวไปยังไหล่ขวาหรือบริเวณหลังด้านขวา และมักมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย นอกจากนี้อาจมีอาการอื่นๆ เช่น อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ มีลมในกระเพาะอาหาร และอาจมีจุกเสียดบริเวณลิ้นปี่ด้วย

                        ในเบื้องต้น แนะนำให้ดูแลรักษาแบบโรคกระเพาะอาหารและกรดไหลย้อน เช่น การเลือกทานอาหารที่ย่อยง่าย ไม่ทานอาหารที่มีไขมันสูง เช่น อาหารทอดต่างๆ อาหารผัด ไม่ทานอาหารรสจัด ไม่ทานเผ็ด ควรเคี้ยวช้าๆ ให้ละเอียด ไม่ทานและกลืนเร็ว ไม่ทานอาหารครั้งละปริมาณมากเกินไป ไม่ดื่มน้ำอัดลม อัดแก๊สต่างๆ รวมถึงชา กาแฟ โกโก้ แอลกอฮอล์ และไม่ควรทานอาหารก่อนนอนภายใน 2 ชั่วโมง ห้ามทานยาแก้ปวดในกลุ่ม NSAIDs เช่น แก้ปวดเมื่อย ปวดข้อ ปวดประจำเดือน เป็นต้น และหากอาการกลับมาเป็นอีก ก็อาจทานยาลดกรดต่อจนกว่าจะดีขึ้น แต่หากอาการยังไม่ดีขึ้น ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจรักษาค่ะ