ถามแพทย์

  • คันก้นมาหลายสัปดาห์ ยิ่งกลางคืนจะคันมาก สาเหตุมาจากอะไร

  •  waorakan
    สมาชิก
    สวัสดีค่ะ มีอาการคันก้นมาหลายสัปดาห์แล้วค่ะจะยิ่งในช่วงตอนกลางคืนแทบนอนไม่ได้เลยค่ะ เวลาเข้าห้องน้ำก็ใช้กระดาษชำระซับให้แห้งแล้วนะคะบางครั้งก็เผลอไปเกาจนมีเลือดซิบๆด้วยค่ะ อยากรู้ว่าสาเหตุมาจากอะไร แล้วถ้าไปหาหมอต้องหาหมอแผนกอะไรคะ

    สวัสดีค่ะ คุณ waorakan,

                         อาการคันที่บริเวณก้น ทวารหนัก อาจเกิดจาก

                        1. ติดเชื้อพยาธิเข็มหมุด (พยาธิเส้นด้าย) ทำให้เกิดอาการคันรอบรูทวารหนัก โดยเฉพาะเวลากลางคืนที่พยาธิออกมาวางไข่

                        2. สังคัง หรือโรคกลาก เป็นโรคติดเชื้อราที่ผิวหนัง ที่เกิดบริเวณขาหนีบ อวัยวะเพศ รอบทวารหนัก อาการเริ่มแรกมักจะเห็นเป็นตุ่มแดงๆ แล้วค่อยๆ ลามออกไปจนมีลักษณะเป็นวงสีแดงที่มีขอบเขตชัดเจน มักมีตุ่มน้ำใสเล็กๆ หรือขุยขาวๆ อยู่รอบวง ร่วมกับมีอาการคันมาก 

                      3. ทวารหนักอับชื้น เช่น จากการมีโรคอ้วน เหงื่อออกมาก ปล่อยให้กางเกงในเปียกชื้น เป็นต้น 

                     4. การแพ้หรือระคายเคืองจากสารเคมีต่างๆ เช่น แป้งที่นำมาทาตัวและใกล้ทวาร แพ้ผงซักฟอก น้ำยาซักผ้าที่นำมาซักกางเกงใน เป็นต้น 

                      5. เป็นโรคหูดหงอนไก่บริเวณทวารหนัก ซึ่งติดต่อมาจากการมีเพศสัมพันธ์ 

                      6. โรคผิวหนังบางชนิด  เช่น สะเก็ดเงิน แต่ก็จะมีอาการที่ผิวหนังบริเวณอื่นๆ ร่วมด้วย 

                     7. มีโรคแผลปริขอบทวารหนักอยู่ ซึ่งเกิดจากการถ่ายอุจจาระแข็ง ก้อนใหญ่ อุจจาระไปบาดเยื่อบุ ทำให้เกิดแผลขนาดเล็ก และเมื่อแผลกำลังหาย ก็จะมีอาการคันเกิดขึ้นได้ 

                      8. โรคเรื้อรังบางชนิดที่ทำให้เกิดอาการคัน โดยมักมีอาการคันบริเวณอื่นๆร่วมด้วย เช่น โรคเบาหวาน โรคไต โรคไทรอยด์ เป็นต้น

                      9. การรับประทานอาหารบางชนิด อาจทำให้มีอาการคันรอบรูทวารหลังถ่ายอุจจาระ เช่น นมวัว แอลกอฮอล์ อาหารรสจัด เครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เป็นต้น

                      ในเบื้องต้น ควรพยายามรักษาความสะอาดรอบรูทวาร ไม่ปล่อยอับชื้น ควรเช็ดให้แห้งหลังการเข้าห้องน้ำทุกครั้ง ใส่กางเกงในที่ระบายอากาศได้ดี ไม่ทาแป้งหรือโลชั่นใกล้ๆ รูทวารหนัก เวลาซักกางเกงใน ควรซักให้ฟองจากผงซักฟอกออกให้หมด เป็นต้น  หากอาการคันยังไม่ดีขึ้น ก็ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจและให้การวินิจฉัยที่ถูกต้องค่ะ