ถามแพทย์

  • ตรวจหาhivพบเป็น reactive negative แปลว่าอะไร

  •  Northzstar Northz
    สมาชิก
    เมื่อวันศุกร์ผมไปตรวจหาhiv ผลครั้งแรกออกมาเป็น reactive negative หมอเลยให้เข้ารับคำแนะนำและสั่งตรวจซ้ำ +สั่งเจาะหาค่า ,CD4 ด้วย และรอผลอีก10วัน ผมกังวลทำไรไม่ได้เลยไปตรวจซ้ำที่คลีนิค ผลออกมาเหมือนกันคือ reactive negative ที่คลินิคบอกไม่ต้องตรวจซ้ำที่ไหนอีกแล้ว ให้รอฟังคำแนะนำตามที่รพนัดทีเดียว ผมจิตตกจนทำอะไรไม่ถูกแล้วครับ ผมเลยอยากขอถามว่า 1.หมอสั่งฉีดยาฆ่าเชื้อ 3 วัน 3ครั้ง ก่อนตรวจหาhiv มีผลให้ผลเลือดไม่ชัดเจนไหมครับ 2.คนที่ถูกเจาะเลือดหาค่า CD4 คือมีแนวโน้มชัดเจนแล้วใช่ไหมครับ 3.จากเรื่องที่ผมเล่ามาทั้งหมดจะมีแนวโน้มทิศทางไปทางไหนมากกว่ากันครับ ผมเครียด กังวล จิตตก จนทำอะไรต่อไม่ได้แล้วจริงๆ ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับทุกๆคำตอบครับ
    Northzstar Northz  พญ.นรมน
    สมาชิก

    สวัสดีค่ะคุณ Northzstar Northz

    การตรวจว่าเป็น hiv หรือไม่นั้น อธิบายคร่าวๆคือ

    1.ตรวจเชื้อ hiv เองเลย อันนี้จะตรวจยากและมีค่าใช้จ่ายสูง ผลแน่นอนภายใน 7-10 วันหลังมีความเสี่ยง

    2.ตรวจภูมิคุ้มกันต่อเชื้อ hiv ให้ผลแน่นอนมากกว่า 99% ที่ 3 เดือน เป็นวิธีที่ใช้กันเป็นมาตรฐาน

    3. ตรวจภูมิคุ้มกัน hiv กับเชื้อไปร่วมกัน จะให้ผลที่แน่นอนที่ประมาณ 14-21 วันหลังมีความเสี่ยง

    ถ้าผู้เข้ารับการตรวจมีประวัติเสี่ยงต่อการติดเชื้อและตรวจด้วยคัดกรองคือผล ออกมาเป็น reactive แปลว่าน่าจะมีเชื้อ จะต้องทำการตรวจซ้ำด้วยชุดตรวจที่ต่างกันกับชุดตรวจแรกอีก 2 ชุดถ้าให้ผล reactive เหมือนกับชุดแรกจะรายงานว่าผู้เข้ารับการตรวจมีผลเลือดบวก นั่นคือมีการติดเชื้อเอชไอวี

    ในกรณีที่มีผลเลือดบวกหรือ reactive จะมีเจ้าหน้าที่นัดมาเจาะเลือดซ้ำเพื่อยืนยันผลอีกครั้งหนึ่ง รวมถึงมีตรวจทางห้องปฏิบัติการอื่นๆ เพิ่มเติมเช่น ปริมาณไวรัสในเลือด ปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาว ปริมาณเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด CD4 ลิมโฟไซต์ เพื่อใช้ประเมินและวางแผนการรักษาด้วยยาต้านไวรัสต่อไป

    จากเหตุการณ์ดังกล่าวไม่แน่ใจว่าทำไมจึงรายงานเป็น reactive negative เพราะ reactive แปลว่ามีเชื้อ แต่ negative แปลว่าไม่มี แนะนำถามหรือยืนยันกับแพทย์ที่ตรวจเลือดโดยตรงอีกครั้งว่ามีหรือไม่มีเชื้อค่ะ

    แนะนำไปรพ.ตามที่แพทย์นัด เพื่อฟังผลเลือดยืนยันอีกครั้ง และควรถามอย่างละเอียดว่าเป็นหรือไม่เป็นโรค หากเป็นโรคจะต้องเข้ารับการรักษาและกินยาอย่างต่อเนื่องภายใต้การดูแลของแพทย์