ยากลุ่มเอ็นเสด (NSAIDs)
NSAIDs (เอ็นเสด) หรือ Non–Steroidal Anti–Inflammatory เป็นกลุ่มยาแก้อักเสบชนิดหนึ่งที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ที่มักใช้รักษากลุ่มผู้ป่วยที่มีอาการปวด บวม หรืออักเสบ เช่น แก้ปวด ลดไข้ รักษาโรคข้ออักเสบต่าง ๆ โรคข้อรูมาตอยด์ โรคเก๊าท์ ปวดศีรษะ ปวดไมเกรน ปวดกระดูก ปวดกล้ามเนื้อ และปวดแผล
ยาในกลุ่ม NSAIDs ที่มักใช้ ได้แก่ แอสไพริน (Aspirin) ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen) ไดโคลฟีแนค (Diclofenac) นาพรอกเซน (Naproxen) อินโดเมทาซิน (Indomethacin) อีโตริคอกซิบ (Etoricoxib) เซเลโคซิบ (Celecoxib) เมเฟนามิค แอซิด (Mefenamic Acid) ไพร็อกซิแคม (Piroxicam) และมีลอกซิแคม (Meloxicam)
ทั้งนี้ ยากลุ่ม NSAIDs เป็นกลุ่มยาที่อาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงมาก เช่น เลือดออก เกิดแผลในกระเพาะอาหาร หัวใจวาย เส้นเลือดในสมองแตก การใช้ยากลุ่มนี้จึงต้องอยู่ภายใต้การดูแลจากแพทย์ หรือต้องซื้อภายใต้คำแนะนำของเภสัชกรเท่านั้น
ยา NSAIDs ที่ใช้แพร่หลายในประเทศไทย ได้แก่ แอสไพริน (Aspirin) ไอบูโปรเฟน (Ibuprofen) นาโปรเซน (Naproxen) อินโดเมธาซิน (Indomethacin) อีโตริคอกซิบ (Etoricoxib) หรืออาร์โคเซีย (Arcoxia) และเซเลโคซิบ (Celecoxib) หรือเซเลเบรก (Celebrex)
คำเตือนในการใช้ยากลุ่ม NSAIDs
เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการใช้ยา ผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาในกลุ่ม NSAIDS ควรระมัดระวังและปฏิบัติตามคำแนะนำต่อไปนี้
- ไม่ควรใช้ยานี้ในเด็กที่มีอายุต่ำกว่า 6 เดือน
- ไม่ควรใช้ยานี้ในผู้ที่มีประวัติแพ้ยากลุ่ม NSAIDs โดยเฉพาะหากมีประวัติแพ้รุนแรง
- ควรได้รับคำแนะนำจากแพทย์อย่างใกล้ชิดโดยเฉพาะในกรณีของสตรีที่อยู่ในระหว่างให้นมบุตร วางแผนจะมีบุตร หรืออยู่ในระหว่างตั้งครรภ์ โดยเฉพาะในช่วง 3 เดือนสุดท้าย เนื่องจากยาอาจส่งผลต่อการคลอดและทารกได้
- ไม่ควรใช้ยาแอสไพรินในเด็กและบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 20 ปี เพราะอาจทำให้เกิดกลุ่มอาการราย (Reye’s Syndrome) ซึ่งจะทำให้เกิดอาการบวมที่ตับและสมอง อาเจียน อ่อนเพลีย ชัก และหมดสติ
- ไม่ควรใช้ยาเซเลเบรก (Celebrex) ในผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด เพราะจะเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายและเส้นเลือดในสมองแตก
- ไม่ควรรับประทานยานี้ในวันหรือเวลาที่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะจะทำให้เกิดเลือดออกในระบบทางเดินอาหาร
- ไม่ควรรับประทานยานี้ติดต่อกันเกิน 10 วัน เนื่องจากยากลุ่ม NSAIDs เป็นยาที่มักใช้รักษาในระยะสั้น ซึ่งหากใช้ติดต่อกันนานเกินไปอาจส่งผลให้เกิดผลข้างเคียงจากการใช้ยาตามมา
- ไม่ควรใช้ยาเกินปริมาณที่กำหนด และไม่ควรใช้ยานี้ในผู้ป่วยบางกลุ่ม เช่น กรดไหลย้อน โรคกระเพาะ มีเลือดออกในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง โรคตับ โรคไต หรือผู้ที่ใช้ยาขับปัสสาวะ เนื่องจากยาจะไปกระตุ้นให้เกิดความเสี่ยงกับโรคนั้น ๆ มากขึ้น
ปริมาณการใช้ยากลุ่ม NSAIDs
ในการใช้ยากลุ่ม NSAIDs แพทย์จะสั่งยาตามเงื่อนไขของผู้ป่วยแต่ละคน เช่น 1–4 ครั้งต่อวัน หรืออาจจะมากกว่าหรือน้อยกว่านั้น ขึ้นอยู่กับระยะเวลาที่ยาจะสะสมในร่างกาย หรืออายุและน้ำหนักตัวของผู้ป่วย โดยแพทย์อาจเพิ่มความแรงของยาในผู้ป่วยที่เป็นโรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ หรือลดความแรงของยาในผู้ป่วยที่เป็นโรคข้อเข่าเสื่อมหรือมีอาการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อ
ตัวอย่างปริมาณการใช้ยาในกลุ่ม NSAIDs
ยาไอบูโพรเฟน
ตัวอย่างการใช้ยาไอบูโพรเฟน ได้แก่
ผู้ใหญ่ เริ่มต้นรับประทานยาปริมาณ 400 มิลลิกรัม แล้วต่อด้วยปริมาณ 200–400 มิลลิกรัม ตามความจำเป็นทุก 4 ชั่วโมง แต่ไม่เกิน 4 ครั้งต่อวัน
เด็ก รับประทานทุก 6 ชั่วโมง แต่ไม่เกิน 4 ครั้งต่อวัน โดยปริมาณของยาจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัวของเด็ก ดังนี้
- น้ำหนักตัว 7–8 กิโลกรัม รับประทานยาปริมาณ 50 มิลลิกรัม
- น้ำหนักตัว 9–10 กิโลกรัม รับประทานยาปริมาณ 75 มิลลิกรัม
- น้ำหนักตัว 11–16 กิโลกรัม รับประทานยาปริมาณ 100 มิลลิกรัม
- น้ำหนักตัว 17–21 กิโลกรัม รับประทานยาปริมาณ 150 มิลลิกรัม
- น้ำหนักตัว 22–27 กิโลกรัม รับประทานยาปริมาณ 200 มิลลิกรัม
- น้ำหนักตัว 28–32 กิโลกรัม รับประทานยาปริมาณ 250 มิลลิกรัม
- น้ำหนักตัว 33–43 กิโลกรัม รับประทานยาปริมาณ 300 มิลลิกรัม
- น้ำหนักตัว 44 กิโลกรัมขึ้นไป รับประทานยาปริมาณ 400 มิลลิกรัม เหมือนผู้ใหญ่
ยานาพรอกเซน
ตัวอย่างการใช้ยานาพรอกเซน ได้แก่
ผู้ใหญ่ เริ่มต้นด้วยปริมาณ 440 มิลลิกรัม แล้วต่อด้วยปริมาณ 220 มิลลิกรัม ทุก 8–12 ชั่วโมง ตามความจำเป็น ดื่มน้ำตามมาก ๆ และไม่ควรรับประทานยาเกิน 660 มิลลิกรัม ต่อวัน
ผู้ใหญ่ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ไม่ควรรับประทานยาเกิน 220 มิลลิกรัม ต่อ 12 ชั่วโมงยกเว้นแพทย์สั่ง
การใช้ยา NSAIDs
ในกรณีที่ผู้ป่วยซื้อยากลุ่ม NSAIDs รับประทานด้วยตนเอง เช่น แอสไพริน ไอบูโพรเฟน นาพรอกเซน ผู้ป่วยควรอ่านฉลากยาและปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นเด็ก และไม่ควรรับประทานยาเกินปริมาณที่กำหนด โดยปริมาณยาจะขึ้นอยู่กับอายุและน้ำหนักของผู้ป่วย
ในกรณีที่ไม่ใช่ยาเม็ด ผู้ป่วยควรใช้เครื่องมือตวงที่แนบมากับตัวยา และไม่ควรตวงด้วยช้อนที่ใช้รับประทานอาหาร เพราะจะทำให้ปริมาณยาคลาดเคลื่อนได้
นอกจากนี้ เนื่องจากยาในกลุ่ม NSAIDs อาจส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดอาการระคายเคืองกระเพาะอาหารได้ ผู้ป่วยจึงอาจเลือกรับประทานยาหลังอาหารแทนและหลีกเลี่ยงการรับประทานยาขณะท้องว่าง
ปฏิกิริยาระหว่างยากลุ่ม NSAIDs กับยาอื่น
ผู้ที่ใช้ยาในกลุ่ม NSAIDs ควรแจ้งให้แพทย์ทราบหากกำลังใช้ยา วิตามิน ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม หรือสมุนไพรทุกชนิดที่ผู้ป่วยกำลังใช้อยู่ เนื่องจากยาในกลุ่มนี้อาจมีปฏิกิริยาระหว่างยากับยาหรือสารอื่น ๆ ได้ เช่น
- ยาชนิดอื่นในกลุ่ม NSAIDs
- ยาในกลุ่มคอร์ติโคสเตียรอยด์ (Corticosteroid) หรือสเตียรอยด์
- ยาละลายลิ่มเลือด
- ยารักษาภาวะซึมเศร้า
- ยารักษาภาวะความดันโลหิตสูง
- ยารักษาภาวะเบาหวาน
- ยาขับปัสสาวะ
- ยาปฏิชีวนะ
- ยาสำหรับผู้ป่วยปลูกถ่ายอวัยวะ หรือผู้ป่วยโรคภูมิคุ้มกัน
- ยาชนิดอื่น ๆ เช่น ยาไดจอกซิน (Digoxin) ยาลิเทียม (Lithium) ยาเมโธเทรกเซท (Methotrexate) หรือยาโพรเบเนซิด (Probenecid)
ผลข้างเคียงจากการใช้ยา NSAIDs
การใช้ยากลุ่ม NSAIDs อาจส่งผลให้ผู้ป่วยเกิดผลข้างเคียงบางอย่างจากการใช้ยาได้ เช่น
ผลข้างเคียงต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
ผู้ที่รับประทานยาในกลุ่ม NSAIDs โดยเฉพาะผู้ที่ใช้ยาเซเลเบรก อาจเสี่ยงต่อการเกิดภาวะหัวใจวายและเส้นเลือดในสมองแตกได้
อย่างไรก็ตาม ยากลุ่ม NSAIDs บางชนิดเช่น แอสไพริน มีคุณสมบัติต้านการทำงานของเกล็ดเลือดได้หากให้ในระดับต่ำ ซึ่งจะส่งผลให้เลือดแข็งตัวได้ช้าและลดโอกาสเกิดลิ่มเลือด แพทย์จึงใช้ยากลุ่มนี้เพื่อต้านการแข็งตัวของเลือดในการป้องกันและรักษาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ และโรคหลอดเลือดสมองตีบตัน แต่หากใช้ยากลุ่ม NSAIDs ร่วมกับแอสไพรินอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดเลือดออกได้
ผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร
ผู้ป่วยอาจพบอาการแสบร้อนกลางอก คลื่นไส้ ปวดท้อง มีแผลหรือเลือดออกในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ โดยพบมากในผู้ป่วยที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ที่สูบบุหรี่หรือดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ผู้ที่มีประวัติเป็นแผลในกระเพาะอาหารหรือมีภาวะไตวาย ยกเว้นการใช้ยาเซเลเบรก ที่ออกแบบมาให้ไม่มีผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินอาหาร
ผลข้างเคียงต่อความดันในเลือด
เมื่อรับประทานยาในกลุ่ม NSAIDs เข้าไป ผู้ป่วยอาจมีความดันในเลือดสูงขึ้น ผู้ที่มีเลือดออกในกระเพาะอาหารหรือลำไส้ จึงเสี่ยงต่อภาวะเลือดไหลไม่หยุดหากมีการรับประทานยา NSAIDs ก่อนการผ่าตัดประมาณ 1 สัปดาห์ ดังนั้น แพทย์อาจแนะนำให้หยุดรับประทานยาเพื่อลดความเสี่ยงของภาวะเลือดออกมากเกินไป
ผลข้างเคียงต่อระบบทางเดินหายใจ
ผู้ป่วยอาจเกิดอาการหายใจเสียงดัง หายใจเร็ว ใบหน้าหรือลำคอบวม โดยอาการเหล่านี้พบมากในผู้ป่วยที่เป็นโรคหอบหืด ไซนัส หรือมีปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ หรือเนื้องอกในโพรงจมูก
ผลข้างเคียงต่อตับ
ตัวยาอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อตับ โดยเฉพาะผู้ที่รับประทานยากลุ่ม NSAIDs เป็นระยะเวลานาน และใช้ในปริมาณมาก
ผลข้างเคียงต่อไต
การรับประทานยากลุ่ม NSAIDs แม้ในระยะเวลาสั้นก็สามารถส่งผลให้เกิดอันตรายต่อไตได้ โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่เป็นโรคไตอยู่แล้ว ดังนั้น ผู้ที่ใช้ยากลุ่ม NSAIDs ควรตรวจความดันเลือดและการทำงานของไตอย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หรือมากกว่า ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของผู้ป่วยแต่ละราย