ถามแพทย์

  • กินยาคุมไป 7-8 เม็ด แล้วมีตกขาวสีน้ำตาลและคัน จึงได้หยุดทานยาไป แต่รปะจำเดือนยังไม่มา เพราะอะไร

  •  cake1112
    สมาชิก
    สวัสดีค่ะ หนูพึ่งเคยทานยาคุมแผงแรกเริ่มกินวันที่ประจำเดือนมา แต่ทานไปได้ประมาณ 7-8 เม็ดก็เกิดความผิดปกติขึ้นก่อน คือมีตกขาวสีน้ำตาลและคันบริเวณอวัยวะเพศมาก (ก่อนหน้านั้นมีเพศสัมพันธ์กับแฟนไปติดต่อกันหลายวัน) เลยหยุดและไปพบแพทย์ แพทย์ให้หยุดกินยาคุมไปก่อน เลือดเลยไหล เป็นอยู่ประมาณ 3-5 วันก็หาย แต่มาตอนนี้ประจำเดือนหนูกลับไม่มา ทั้งที่มันควรจะครบรอบเดือนได้แล้ว (แต่ก่อนหน้านี้หนูมีเพศสัมพันธ์กับแฟนไปนะคะ ใส่ถุงบ้าง ไม่ใส่บ้าง) เป็นไปได้มั้ยคะว่า พอเราหยุดยาแล้ว รอบเดือนเราจะเลื่อน (ก่อนหน้านี้หนูเคยทานยาคุมฉุกเฉินไปด้วยค่ะ แล้วประจำเดือนเลื่อนไปเกือบ3สัปดาห์) สัปดาห์ก่อนหน้าหนูมีอาการเหมือนประจำเดือนใกล้มาด้วย คือครั่นเนื้อครั่นตัว กินเยอะ เจ็บหน้าอก หนูควรทำยังไงดีคะ ขอบคุณค่ะ

    สวัสดีค่ะ คุณ cake1112,

                         การมีตกขาวสีน้ำตาล น่าจะเป็นตกขาวที่มีเลือดปน ซึ่งหากเพิ่งเกิดขึ้น เมื่อได้ทานยาคุมไปได้ 7-8 เม็ด น่าจะเป็นอาการเลือดออกกะปริดกะปรอยที่เกิดจากผลของยาคุมกำเนิดได้ค่ะ โดยเฉพาะการทานยาคุมกำเนิดชนิดที่มีฮอร์โมนต่ำ ซึ่งโดยปกติ ก็ไม่ได้อันตรายแต่อย่างใด และเมื่อทานยาต่อเนื่องไปซักระยะ เลือดที่ออกก็มักจะหายไปได้เอง

                         สำหรับอาการคันอวัยวะเพศ อาจเกิดจากหลายสาเหตุ เช่น การติดเชื้อราในช่องคลอด การแพ้ระคายเคืองต่อสารเคมีต่างๆ หรือการอับชื้นจากการที่มีตกขาวมากได้ ดังนั้น เมื่อได้หยุดทานยาคุม และอาการตกขาวสีน้ำตาลและคันได้หายไปแล้ว ก็แสดงว่าน่าจะเกิดจากผลของยาคุมกำเนิดค่ะ

                        หลังจากที่หยุดทานยาคุมกำเนิด โดยส่วนใหญ่การทำงวานของรังไข่และการตกไข่ก็จะกลับมาภายใน 2-3 สัปดาห์ และประจำเดือนก็จะมาภายใน 4-5 สัปดาห์ (นับจากที่ได้หยุดทานยาไป) แต่ในบางราย อาจเกิดขึ้นเร็วหรือช้ากว่านี้ก็ได้

                        ดังนั้น หากยังไม่ถึง 4 สัปดาห์นับจากที่ได้หยุดทานยาคุมกำเนิดไป ก็ควรรอประจำเดือนต่อไปก่อนอีกซักระยะค่ะ ทั้งนี้ การเกิดอาการครั่นเนื้อตัว กินเยอะ เจ็บหน้าอก อาจเป็นอาการก่อนการมีประจำเดือนมาก็ได้ ดังนั้น ภายใน 1-2 สัปดาห์หลังจากที่เกิดอาการ ประจำเดือนก็น่าจะมาค่ะ