ยาต้านเศร้ากลุ่มเอ็มเอโอไอ

ยาต้านเศร้ากลุ่มเอ็มเอโอไอ

MAOI (Monoamine Oxidase Inhibitors) เป็นยาต้านเศร้ากลุ่มเอ็มเอโอไอ ออกฤทธิ์ยับยั้งเอนไซม์โมโนเอมีน ออกซิเดส ซึ่งมีหน้าที่ทำลายสารสื่อประสาทในสมอง อย่างนอร์อิพิเนฟริน เซโรโทนิน และโดพามีน เมื่อสารสื่อประสาทดังกล่าวเพิ่มขึ้นและกลับมาอยู่ในระดับสมดุลจะช่วยบรรเทาอาการของโรคซึมเศร้าและโรควิตกกังวล ในบางกรณีแพทย์อาจใช้ยานี้ในการรักษาโรคพาร์กินสันด้วย

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันมีการใช้ยา MAOI น้อยลง เนื่องจากยามีความปลอดภัยต่ำและอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่ร้ายแรงได้มากกว่ายาต้านเศร้ารุ่นใหม่ แต่แพทย์ยังนำยานี้มาใช้รักษาหากผู้ป่วยรับประทานยาต้านเศร้ากลุ่มอื่นแล้วรักษาไม่ได้ผล

1971 MAOI rs

ตัวอย่างยาในกลุ่มนี้ เช่น

  • ยาเซเลกิลีน เป็นยาที่ใช้รักษาอาการจากโรคซึมเศร้า และยังนำมาใช้ร่วมกับยาอื่น ๆ ในการรักษาอาการของโรคพาร์กินสันด้วย
  • ยาฟีเนลซีน เป็นยาที่ใช้รักษาอาการจากโรคซึมเศร้า ซึ่งอาจส่งผลให้ผู้ป่วยมีอารมณ์ดีและช่วยให้รู้สึกดีมากขึ้น
  • ยาทรานิลไซโปรมีน เป็นยาที่ใช้รักษาอาการจากโรคซึมเศร้า โดยออกฤทธิ์ปรับความสมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้นได้
  • ยาเมทิลีน บลู เป็นยาที่ใช้รักษาอาการจากโรคซึมเศร้าและภาวะเมทฮีโมโกลบินีเมีย (Methemoglobinemia)
  • ยาไอโซคาร์บอกซาซิด เป็นยาที่ใช้รักษาอาการจากโรคซึมเศร้าที่แพทย์มักนำมาใช้หากใช้ยาต้านเศร้าในกลุ่มอื่น ๆ รักษาผู้ป่วยแล้วไม่ได้ผล

คำเตือนในการใช้ยา MAOI

  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยาต้านเศร้ากลุ่มเอ็มเอโอไอเสมอ โดยเฉพาะหากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยา MAOI เพราะอาจเกิดอาการแพ้ยาหรือเกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมาหลังใช้ยานี้ได้
  • แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยา วิตามิน หรือสมุนไพรทุกชนิดที่ผู้ป่วยกำลังใช้อยู่ เพราะยาบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับยาในกลุ่มนี้ได้
  • ไม่ควรรับประทานยาในกลุ่มนี้หากป่วยเป็นโรคหัวใจ ภาวะความดันโลหิตสูง หรือมีเนื้องอกต่อมหมวกไตชนิดฟีโอโครโมไซโตมา และไม่ควรรับประทานยาในกลุ่มนี้ก่อนเข้ารับการผ่าตัดอย่างน้อย 10 วัน
  • เนื่องจากยา MAOI ออกฤทธิ์อยู่นานหลายสัปดาห์ หากผู้ป่วยต้องรับประทานยาต้านเศร้ากลุ่มอื่นหรือยาชนิดต่าง ๆ ที่ส่งผลให้ระดับสารเซโรโทนินหรือสารสื่อประสาทอื่น ๆ สูงขึ้น ควรเว้นระยะเวลาอย่างน้อย 14 วัน ก่อนเริ่มรับประทานยาดังกล่าว เพราะตัวยาอาจทำปฏิกิริยาต่อกันจนเกิดอันตรายต่อร่างกายของผู้ป่วยได้  
  • หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่มีสารไทรามีนอยู่มากในขณะที่ใช้ยากลุ่มนี้ เช่น อาหารจำพวกเนยแข็ง เนื้อหมัก กะหล่ำปลีดอง ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากถั่วเหลืองอย่างซอสถั่วเหลือง ซุปมิโสะ และเต้าหู้ เป็นต้น เพราะอาจส่งผลให้ความดันโลหิตเพิ่มสูงมากจนเกิดโรคหลอดเลือดสมองได้  
  • ผู้ป่วยที่ใช้ยานี้อาจเสี่ยงต่อการคิดหรือพยายามฆ่าตัวตายเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะเด็กหรือผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 25 ปี ซึ่งมักเกิดขึ้นในช่วงเริ่มต้นใช้ยาหรือเปลี่ยนปริมาณการใช้ยา
  • หากใช้ยากลุ่มนี้ในปริมาณมากหรือใช้ร่วมกับยาชนิดอื่นหรืออาหารเสริมอื่น ๆ อาจทำให้เกิดกลุ่มอาการเซโรโทนินได้ (Serotonin Syndrome) ซึ่งอาจทำให้เกิดอาการ เช่น รู้สึกสับสน กระสับกระส่าย กล้ามเนื้อกระตุก มีเหงื่อออกมากผิดปกติ ใจสั่น เป็นต้น  
  • หลังจากรับประทานยาในกลุ่มนี้ประมาณ 30-120 นาที ผู้ป่วยอาจมีความดันโลหิตสูงขึ้นอย่างรวดเร็วชั่วคราว แต่มักพบได้น้อยรายมาก
  • ห้ามหยุดใช้ยาโดยปราศจากคำแนะนำของแพทย์ โดยผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ก่อนหยุดใช้ยาเสมอ เพราะอาจเสี่ยงเกิดอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น วิตกกังวล ตื่นตระหนก นอนไม่หลับ หนาวสั่น คลื่นไส้ ปวดศีรษะ และรู้สึกไม่สบาย เป็นต้น รวมทั้งหากผู้ป่วยหยุดใช้ยาอย่างกะทันหันอาจทำให้เกิดอาการถอนยาได้อีกด้วย  
  • ยาในกลุ่มนี้บางชนิดอาจเป็นอันตรายต่อทารกหากผู้ป่วยกำลังตั้งครรภ์หรือให้นมบุตร ดังนั้น ผู้ที่ตั้งครรภ์ วางแผนจะตั้งครรภ์ หรือกำลังให้นมบุตร ควรปรึกษาแพทย์ถึงผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้นของยากลุ่มนี้ก่อนใช้ยาเสมอ

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา MAOI

โดยทั่วไป ยา MAOI อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงที่พบได้บ่อย เช่น ความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนจากท่ายืนไปท่านั่ง เวียนศีรษะ หรือวิงเวียนคล้ายจะหมดสติ ปวดศีรษะ ง่วงซึม นอนไม่หลับ คลื่นไส้ ท้องเสีย ท้องผูก ปากแห้ง มีผื่นที่ผิวหนัง เป็นต้น ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์และปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เสมอ ซึ่งแพทย์อาจให้ค่อย ๆ ลดปริมาณการใช้ยา แบ่งปริมาณการใช้ยา หรือดื่มน้ำมากขึ้นแทน

โดยตัวอย่างผลข้างเคียงที่อาจพบได้ หรือผลข้างเคียงจากการใช้ยาต้านเศร้ากลุ่มเอ็มเอโอไอในระยะยาว มีดังนี้

  • มีอาการบวมน้ำ  
  • ปวดกล้ามเนื้อ เป็นตะคริวที่กล้ามเนื้อ คอแข็ง หรือกล้ามเนื้อกระตุก
  • มีภาวะพาเรสทีเซีย ซึ่งทำให้รู้สึกเหมือนโดนของแหลมทิ่ม คัน และแสบร้อนตามผิวหนัง
  • น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นผิดปกติ
  • ความดันโลหิตต่ำ
  • มีความต้องการทางเพศน้อยลง ถึงจุดสุดยอดยากขึ้น และหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
  • ปัสสาวะลำบาก

อย่างไรก็ตาม หากพบผลข้างเคียงหรือความผิดปกติอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ ควรรีบแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบด้วยเช่นกัน