น้ำตาลในเลือดสูง

ความหมาย น้ำตาลในเลือดสูง

น้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemia) เป็นภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดสูงกว่าปกติ ซึ่งระดับน้ำตาลที่ปกติคือประมาณ 70-100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แต่หากค่าที่ได้สูงกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไปจะเสี่ยงต่อการเป็นเบาหวาน

โดยทั่วไป การตรวจจะใช้เกณฑ์วัดระดับน้ำตาลก่อนรับประทานอาหารในตอนเช้า ผู้ที่เข้ารับการตรวจต้องอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมงในคืนก่อนตรวจ สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงและไม่ได้รับการรักษานั้นอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ส่งผลให้เส้นประสาท หลอดเลือด หรืออวัยวะต่าง ๆ ถูกทำลายจนมีปัญหาสุขภาพร้ายแรงตามมาได้

น้ำตาลในเลือดสูง

อาการของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง

น้ำตาลในเลือดสูงมักไม่มีอาการบ่งบอกในช่วงแรก แต่เริ่มสังเกตเห็นความผิดปกติได้เมื่อระดับน้ำตาลสูงเกิน 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป อาจใช้เวลาหลายวันไปจนถึงหลายสัปดาห์ จึงจะแสดงอาการอย่างค่อยเป็นค่อยไป บางรายที่ป่วยด้วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 เป็นเวลานานอาจไม่มีอาการผิดปกติ แม้จะมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้น อย่างไรก็ตาม อาการของภาวะน้ำตาลในเลือดสูงที่พบได้บ่อย มีดังนี้

อาการในช่วงเริ่มต้นสังเกตได้จาก

  • ปัสสาวะบ่อย โดยเฉพาะในช่วงกลางคืน
  • มองเห็นไม่ชัด
  • กระหายน้ำมาก
  • ปวดศีรษะ
  • เหนื่อยง่าย

ผู้ที่ระดับน้ำตาลสูงขึ้นและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกวิธีอาจเกิดภาวะเลือดเป็นกรดจากการสะสมของสารคีโตน (Ketones) ซึ่งเป็นของเสียในเลือดและปัสสาวะ ทำให้มีอาการอื่นตามมา เช่น

  • ลมหายใจมีกลิ่นคล้ายผลไม้
  • หายใจสั้น
  • ปากแห้ง
  • คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปวดท้อง
  • อ่อนเพลีย
  • น้ำหนักลด
  • รู้สึกสับสน
  • แผลหายช้ากว่าปกติ
  • ติดเชื้อบริเวณช่องคลอดหรือผิวหนัง
  • ในรายที่อาการรุนแรงอาจเป็นลม หมดสติ
  • เส้นประสาทเสียหาย ส่งผลให้มีอาการเท้าเย็นจนปวดหรือไม่มีความรู้สึก ขนขาล่วง หรือหย่อนสมรรถภาพทางเพศ
  • มีปัญหาเกี่ยวกับกระเพาะอาหารและลำไส้ เช่น ท้องผูกหรือท้องเสียเรื้อรัง
  • มีปัญหาเกี่ยวกับดวงตา หลอดเลือด หรือไต

ทั้งนี้ ผู้ที่มีอาการอาเจียนหรือท้องเสียเรื้อรัง แม้แต่กรณีที่รับประทานอาหารหรือน้ำได้ตามปกติ ไข้ขึ้นนานกว่า 24 ชั่วโมง ควบคุมระดับน้ำตาลไม่ได้ หรือมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่า 240 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไปแม้รับประทานยาโรคเบาหวานอย่างต่อเนื่อง ควรรีบไปพบแพทย์ เพื่อตรวจดูอาการอย่างละเอียด    

สาเหตุของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง

ผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงมักมีสาเหตุมาจากโรคเบาหวานเป็นหลัก เพราะผู้ป่วยโรคเบาหวานนั้นมีระดับน้ำตาลสูงขึ้นได้ง่าย เนื่องจากร่างกายมีฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอหรือเกิดภาวะดื้ออินซูลิน ทำให้การควบคุมระดับน้ำตาลผิดปกติ ต่างจากคนทั่วไปที่ฮอร์โมนอินซูลินจะถูกผลิตและหลั่งจากตับอ่อนหลังมื้ออาหาร โดยทำหน้าที่เป็นตัวนำน้ำตาลในเลือดเข้าสู่เซลล์ต่าง ๆ ทั่วร่างกายเพื่อเผาผลาญเป็นพลังงาน ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดลดลงในระดับปกติ

นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยอื่น ๆ ที่อาจกระตุ้นให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานเกิดภาวะนี้ได้ง่าย เช่น ได้รับฮอร์โมนอินซูลินหรือรับประทานยาเบาหวานไม่เพียงพอ ไม่ควบคุมอาหาร มีพฤติกรรมการใช้ชีวิตเฉื่อยชา ไม่ค่อยได้ออกแรง ได้รับบาดเจ็บหรือเข้ารับการผ่าตัด รับประทานยาสเตียรอยด์ เป็นต้น

ส่วนผู้ที่ไม่ได้เป็นโรคเบาหวานก็เกิดภาวะนี้ได้เช่นกัน โดยอาจมีสาเหตุมาจากโรคหรือพฤติกรรมการใช้ชีวิตบางอย่าง เช่น

  • โรคตับอ่อนอักเสบ
  • โรคมะเร็งตับอ่อน
  • ภาวะต่อมไทรอยด์ทำงานเกิน
  • กลุ่มอาการคุชชิง (Cushing's Syndrome) เนื่องจากร่างกายมีฮอร์โมนคอร์ติซอลในเลือดมากกว่าปกติ
  • เนื้องอกบางชนิดที่ทำให้การหลั่งฮอร์โมนผิดปกติ
  • การเปลี่ยนแปลงของร่างกายอย่างรุนแรงหรือรวดเร็ว เช่น ภาวะหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง การได้รับบาดเจ็บ หรืออาการเจ็บป่วยชนิดรุนแรง ซึ่งอาจทำให้ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นชั่วคราว
  • การรับประทานยาบางชนิด เช่น เพรดนิโซน (Prednisone) เบต้า บล็อกเกอร์ (Beta Blocker) เอสโตรเจน กลูคากอน (Glucagon) และยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน
  • การรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป
  • ภาวะเครียด 
  • เคลื่อนไหวร่างกายน้อย ไม่ออกกำลังกาย 

การวินิจฉัยภาวะน้ำตาลในเลือดสูง

แพทย์จะวินิจฉัยภาวะนี้จากการตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดเป็นหลัก โดยพิจารณาร่วมกับข้อมูลด้านอื่นของผู้ป่วย เช่น อาการผิดปกติที่พบ ประวัติทางการแพทย์ พฤติกรรมการใช้ชีวิต การตรวจร่างกาย เป็นต้น ซึ่งวิธีการตรวจเลือดเบื้องต้นทำได้หลายวิธีและมีขั้นตอนไม่ยุ่งยาก เช่น

  • การตรวจระดับน้ำตาลแบบสุ่มตรวจ (Random Blood Sugar)
    เป็นการเจาะเลือดในช่วงเวลาใดก็ได้ ค่าระดับน้ำตาลในเลือดปกติควรอยู่ที่ประมาณ 70-125 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร แต่จำเป็นต้องใช้วิธีอื่นช่วยยืนยันผลอีกครั้ง เนื่องจากเกิดความคลาดเคลื่อนได้สูงกว่าการตรวจอื่น ๆ
  • การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง (Fasting Blood Glucose)
    เป็นการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังจากอดอาหารและน้ำเป็นเวลาอย่างต่ำ 8 ชั่วโมง มักตรวจในช่วงเช้าของวัน โดยค่าระดับน้ำตาลในเลือดปกติควรต่ำกว่า 100 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร หากอยู่ระหว่าง 100-125 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร อาจอยู่ในภาวะเสี่ยงต่อโรคเบาหวาน และเมื่อสูงกว่าหรือเท่ากับ 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร จะถือว่าเป็นโรคเบาหวาน
  • การตรวจน้ำตาลเฉลี่ยสะสม (Glycohemoglobin A1c)
    เป็นการตรวจระดับน้ำตาลกลูโคสในเลือดช่วง 2-3 เดือนก่อนการเข้ารับการตรวจ ซึ่งค่าปกติมีระดับต่ำกว่า 5.7% หากอยู่ในช่วง 5.7-6.4% จะมีความเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน และหากมีค่าน้ำตาลเฉลี่ยสะสมตั้งแต่ 6.5% ขึ้นไป แสดงว่าผู้ป่วยเป็นโรคเบาหวาน
  • การทดสอบการตอบสนองของฮอร์โมนอินซูลินต่อระดับน้ำตาลในเลือด (Oral Glucose Tolerance Test)
    เป็นการตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังการดื่มน้ำที่มีน้ำตาลกลูโคสละลายในปริมาณและระยะเวลาที่กำหนด วิธีนี้นิยมใช้ตรวจโรคเบาหวานขณะตั้งครรภ์

สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานอาจมีเกณฑ์จำแนกที่แสดงถึงภาวะนี้แตกต่างกันเล็กน้อย ดังนี้

  • ผู้ที่มีอายุไม่เกิน 59 ปี และไม่มีโรคประจำตัวหรือความผิดปกติของร่างกาย ค่าระดับน้ำตาลในเลือดควรอยู่ระหว่าง 80-120 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
  • ผู้ที่มีอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้น และมีโรคประจำตัวหรือความผิดปกติของร่างกาย เช่น โรคหัวใจ โรคไตหรือโรคตับ มีแนวโน้มหรือเคยเกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ (Hypoglycemia) ค่าระดับน้ำตาลในเลือดควรอยู่ระหว่าง 100-140 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร

ทั้งนี้ การวินิจฉัยภาวะน้ำตาลในเลือดสูงจากการตรวจเลือดตามข้างต้นเป็นเกณฑ์ทั่วไปที่นิยมใช้ ซึ่งค่าระดับน้ำตาลในเลือดที่ใช้เป็นเกณฑ์วัดควรพิจารณาจากปัจจัยของแต่ละบุคคลประกอบกันด้วย เพราะบุคคลบางกลุ่มอาจมีระดับน้ำตาลในเลือดแตกต่างจากคนปกติ ได้แก่ หญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่มีภาวะแทรกซ้อน และผู้สูงอายุ

การรักษาภาวะน้ำตาลในเลือดสูง

ภาวะน้ำตาลในเลือดสูงนั้นรักษาหรือควบคุมให้เป็นปกติได้ ซึ่งจะมีวิธีแตกต่างกันตามแต่ละบุคคล โดยพิจารณาจากสาเหตุที่ทำให้เกิดความรุนแรงและความเสี่ยงด้านสุขภาพของผู้ป่วยเป็นหลัก ผู้ที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงไม่รุนแรงหรืออยู่ในภาวะเสี่ยงต่อโรคเบาหวานส่วนใหญ่มักได้รับคำแนะนำจากแพทย์ให้ควบคุมอาหาร ปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน หรือรับการรักษาเพิ่มเติม

สำหรับผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 และผู้ที่มีความเสี่ยงสูงจะรักษาโดยการให้ฮอร์โมนอินซูลินเป็นหลัก ส่วนผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 2 นั้นเริ่มรักษาจากการปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารและฉีดยา บางครั้งอาจได้รับฮอร์โมนอินซูลินควบคู่ไปด้วย แต่หากเป็นผู้ป่วยที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดสูงจากโรคหรือความผิดปกติของร่างกายจะต้องรักษาที่ต้นเหตุ เพื่อปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้กลับสู่ภาวะปกติ และบางรายอาจได้รับฮอร์โมนอินซูลินในระหว่างการรักษาไปพร้อมกัน

อย่างไรก็ตาม แพทย์จะพิจารณาจากตัวผู้ป่วยก่อนเป็นขั้นแรก เพื่อปรับแผนการรักษาให้เหมาะกับสถานการณ์ เบื้องต้นมักแนะนำให้ปรับพฤติกรรมด้านอื่นไปพร้อมกันกับการรักษา ซึ่งวิธีการรักษาภาวะน้ำตาลในเลือดสูงที่ไม่รุนแรงมักมีแนวทาง ดังนี้

ปรับพฤติกรรมการรับประทานอาหารและดื่มน้ำให้มากขึ้น
แพทย์หรือนักโภชนาการจะช่วยดูแลและให้คำแนะนำด้านการกินอาหารที่ถูกต้อง โดยคำนึงถึงความเสี่ยงด้านสุขภาพของผู้ป่วยแต่ละคนควบคู่กัน เช่น ลดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต หรือดื่มน้ำให้เพียงพอในแต่ละวัน เพราะน้ำจะช่วยขจัดน้ำตาลออกจากร่างกายผ่านทางปัสสาวะและป้องกันภาวะขาดน้ำ หรือลดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตให้น้อยลง เพราะสารอาหารกลุ่มนี้อาจไปเพิ่มระดับน้ำตาลในเลือด

โดยหลายคนไม่ทราบว่า ร่างกายจะย่อยสลายคาร์โบไฮเดรตไปเป็นกลูโคสหรือน้ำตาลในเลือด การรับประทานอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตในปริมาณมากจะส่งผลให้ปริมาณน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย โดยเฉพาะเครื่องดื่มที่ปรุงแต่งด้วยน้ำตาลอย่างน้ำอัดลมหรือน้ำผลไม้ ซึ่งจะถูกดูดซึมได้เร็วกว่าอาหารคาร์โบไฮเดรตในรูปแบบอื่น ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ในเรื่องการรับประทานคาร์โบไฮเดรตในปริมาณเหมาะสม เพื่อช่วยให้สามารถควบคุมระดับน้ำตาลให้คงที่ได้

ออกกำลังกายเป็นประจำ
การออกกำลังกายหรือเคลื่อนไหวร่างกายบ่อย ๆ ช่วยเพิ่มการใช้พลังงาน ทำให้น้ำตาลถูกนำออกมาใช้ แต่ผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิดควรระมัดระวังในการเลือกประเภทของการออกกำลังกาย โดยอาจขอคำแนะนำจากแพทย์ในเบื้องต้น ทั้งนี้ ผู้ป่วยโรคเบาหวานที่ตรวจพบคีโตนในปัสสาวะนั้นไม่ควรออกกำลังกาย ซึ่งภาวะนี้มักพบในผู้ป่วยโรคเบาหวานชนิดที่ 1 มากกว่าชนิดที่ 2

เปลี่ยนชนิดของยา
ยาบางชนิดมีผลต่อระดับน้ำตาลในเลือด ผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือโรคอื่น ๆ ที่มีภาวะนี้อาจได้รับการปรับเปลี่ยนชนิดและปริมาณยาที่ใช้ เพื่อลดผลข้างเคียงและความเสี่ยงด้านสุขภาพ

ควบคุมระดับน้ำตาลให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
การตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยควบคุมอาการไม่ให้แย่ลง ผู้ป่วยควรจดบันทึกและตรวจระดับน้ำตาลในเลือดอย่างสม่ำเสมอ เพื่อช่วยให้แพทย์ติดตามการรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งยังเป็นการเตือนตัวเองให้คอยควบคุมระดับน้ำตาล

นอกจากนี้ ผู้ป่วยสามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดได้ด้วยการใช้สารให้ความหวานทดแทนการบริโภคน้ำตาลทราย ซึ่งจะช่วยให้รับประทานอาหารได้หลากหลายและดีต่อสุขภาพมากขึ้น โดยเฉพาะสารให้ความหวานในกลุ่มที่ไม่ให้พลังงาน ให้พลังงานต่ำ หรือมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ แต่หากผู้ป่วยมีปัญหาสุขภาพอื่นร่วมด้วยควรศึกษาข้อจำกัดและขอคำแนะนำในการใช้สารให้ความหวานจากแพทย์ก่อนเสมอ

ตัวอย่างสารให้ความหวานในกลุ่มที่ไม่ให้พลังงาน ให้พลังงานต่ำ หรือมีค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ เช่น

  • แอสปาร์แตม (Aspartame)
    มีรสชาติหวานกว่าน้ำตาลทรายถึง 200 เท่า แต่ให้พลังงานที่เท่ากัน ผู้บริโภคควรใช้ในปริมาณน้อยหรือไม่เกิน 40-50 มิลลิกรัม/ น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/ วัน ทั้งนี้ หากใช้ในปริมาณมากจะให้เกิดรสขม นอกจากนี้ แอสปาร์แตมยังไม่ทนต่อความร้อน จึงนำมาใช้ในการประกอบอาหารหรือเครื่องดื่มบางประเภทไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคฟีนิลคีโตนูเรียห้ามใช้สารชนิดนี้ เพราะอาจเป็นอันตรายต่อร่างกาย
  • ไอโซมอลทูโลส (Isomaltulose)
    มีรสชาติหวานน้อยกว่าน้ำตาล ไม่มีรสขมหรือเฝื่อน ทนต่อการประกอบอาหารในความร้อนสูง มีรสชาติใกล้เคียงกับน้ำตาล ทำให้รสชาติอาหารไม่เปลี่ยน โดยให้พลังงานเทียบเท่ากับน้ำตาลทรายแต่มีค่าดัชน้ำตาลต่ำ (Low GI) จากผลการศึกษาบางส่วนระบุว่าไอโซมอลทูโลสอาจลดความเสี่ยงต่อการเกิดระดับน้ำตาลในเลือดสูงฉับพลัน โดยทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มขึ้นช้า ๆ และอาจช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้ ไอโซมอลทูโลสจึงเป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้ป่วยเบาหวานหรือผู้ที่กำลังควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด
  • ซูคราโลส (Sucralose)
    มีรสชาติใกล้เคียงกับน้ำตาล แต่มีความหวานกว่าน้ำตาลถึง 600 เท่า ไม่มีรสขมหรือรสเฝื่อน นำมาปรุงอาหารและเครื่องดื่มได้ แต่ไม่ควรบริโภคเกิน 15 มิลลิกรัม/ น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/ วัน
  • สตีเวียร์ (Stevia)
    หรือหญ้าหวาน มีสารให้ความหวานหลักคือ สตีวิออลไกลโคไซด์ (Steviol Glycosides) มีความหวานกว่าน้ำตาล 200-400 เท่า ให้รสขมเล็กน้อย สามารถปรุงแต่งอาหารที่ใช้ความร้อนสูงได้ แต่ไม่ควรบริโภคในปริมาณมากเกินกว่า 4 มิลลิกรัม/ น้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม/ วัน

อย่างไรก็ตาม สารให้ความหวานแต่ละชนิดมีข้อจำกัดที่แตกต่างกัน ผู้ป่วยควรปรึกษาแพทย์ถึงประโยชน์ ข้อจำกัด และปริมาณที่เหมาะสมก่อนการบริโภคเพื่อความปลอดภัย พร้อมทั้งควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรงและหมั่นตรวจเช็คระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ

ภาวะแทรกซ้อนของภาวะน้ำตาลในเลือดสูง

ผู้ที่ปล่อยให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงอย่างต่อเนื่องและไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอาจเสี่ยงเกิดภาวะแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่าง ๆ ของร่างกายตามมา เช่น

  • การทำงานของไตเสื่อมลงจนอาจเกิดไตวาย 
  • โรคหัวใจและหลอดเลือด ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงให้เกิดอาการหัวใจวาย โรคหลอดเลือดสมอง หรือโรคเส้นเลือดแดงส่วนปลายอุดตัน
  • เส้นประสาทถูกทำลายและทำงานผิดปกติ ทำให้รู้สึกปวดแสบปวดร้อน เจ็บเหมือนเข็มทิ่ม และการรับรู้สึกความรู้สึกเปลี่ยนแปลงไป
  • โรคทางตาหรือเกิดความผิดปกติกับดวงตาที่เรียกว่าเบาหวานขึ้นตา เช่น จอประสาทเสียหาย โรคต้อหิน โรคต้อกระจก เป็นต้น
  • ผิวหนังเกิดการติดเชื้อ  
  • มีปัญหาเกี่ยวกับเท้า เนื่องจากเส้นประสาทถูกทำลายและเลือดไหลเวียนไม่สะดวก เช่น เท้าติดเชื้อหรือไร้ความรู้สึก บางรายอาจรุนแรงจนต้องตัดขาทิ้ง
  • เกิดปัญหาเกี่ยวกับกระดูกและข้อต่อ
  • โรคฟันและเหงือก

สำหรับภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงและมักพบได้บ่อยในผู้ป่วยโรคเบาหวาน ได้แก่

  • ภาวะกรดคั่งในเลือดจากสารคีโตน (Diabetic Ketoacidosis) เกิดจากร่างกายมีฮอร์โมนอินซูลินไม่เพียงพอ ทำให้เซลล์ขาดพลังงานและต้องสลายไขมันมาใช้เป็นพลังงาน โดยในระหว่างกระบวนการนี้จะเกิดสารคีโตนที่เป็นพิษขึ้นในเลือดและบางส่วนตรวจพบได้ในปัสสาวะ หากปล่อยให้ร่างกายอยู่ในสภาพนี้นานเกินไปจะเสี่ยงต่ออาการโคม่าและเสียชีวิตได้
  • ภาวะโคม่าจากน้ำตาลในเลือดสูง (Hyperglycemic Hyperosmolar Syndrome) เป็นภาวะที่ร่างกายผลิตฮอร์โมนอินซูลินตามปกติ แต่ไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ จึงไม่อาจนำน้ำตาลหรือไขมันมาเป็นพลังงาน ส่งผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงกว่า 600 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร โดยน้ำตาลบางส่วนจะถูกขับออกทางปัสสาวะและเป็นสาเหตุให้ปัสสาวะบ่อยขึ้น และอาจนำไปสู่ภาวะขาดน้ำรุนแรงจนเสียชีวิตหรืออยู่ในอาการโคม่า    

การป้องกันภาวะน้ำตาลในเลือดสูง

ระดับน้ำตาลในเลือดเกิดการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา การป้องกันที่ดีจึงอยู่ที่ความใส่ใจในเรื่องการรับประทานอาหาร ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดูแลสุขภาพร่างกายให้แข็งแรง รักษาสุขอนามัยพื้นฐาน และตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดเป็นประจำ ส่วนผู้ที่มีโรคประจำตัวหรือเป็นโรคเบาหวานนั้นควรรับประทานยาและไปพบแพทย์อย่างสม่ำเสมอ และหากพบความผิดปกติของระดับน้ำตาลในเลือด ควรปรึกษาแพทย์เพื่อขอคำแนะนำในการควบคุมหรือป้องกันอาการไม่ให้แย่ลง