Raloxifene (ราโลซิฟีน)

Raloxifene (ราโลซิฟีน)

Raloxifene (ราโลซิฟีน) เป็นยาในกลุ่มเซิร์ม (Selective Estrogen Receptor Modulators: SERMs) ใช้รักษาและป้องกันโรคกระดูกพรุนในสตรีวัยหมดประจำเดือน ทำให้กระดูกพรุนช้าลงและแข็งแรงมากขึ้น และอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็งเต้านมบางชนิดในสตรีวัยหมดประจำเดือนที่เป็นโรคกระดูกพรุน หรือผู้ที่เสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านมได้อีกด้วย นอกจากนี้ อาจนำยานี้มาใช้รักษาอาการอื่น ๆ ตามดุลยพินิจของแพทย์ด้วย

เกี่ยวกับยา Raloxifene

กลุ่มยา ยาที่เกี่ยวข้องกับการทำงานของกระดูก
ประเภทยา ยาตามใบสั่งแพทย์
สรรพคุณ รักษาและป้องกันโรคกระดูกพรุนในสตรีวัยหมดประจำเดือน
กลุ่มผู้ป่วย ผู้ใหญ่
รูปแบบของยา ยารับประทาน
การใช้ยาในหญิงตั้งครรภ์ Category X ห้ามใช้ในสตรีมีครรภ์หรือในสตรีที่อาจตั้งครรภ์ เพราะจากการศึกษาในมนุษย์และสัตว์แสดงให้เห็นว่า ทำให้เกิดความผิดปกติของทารกในครรภ์มนุษย์และตัวอ่อนในครรภ์สัตว์ หรือพบหลักฐานยืนยันว่า เกิดความเสี่ยงที่อันตรายต่อทารกในครรภ์ การใช้ยามีความเสี่ยงในการเกิดความผิดปกติสูงกว่าประโยชน์ที่อาจได้รับอย่างชัดเจน

1964 Raloxifene rs

คำเตือนในการใช้ยา Raloxifene

  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากมีประวัติแพ้ยาหรือส่วนประกอบของยาชนิดนี้ รวมถึงยาและสารอื่น ๆ เพราะยาอาจมีส่วนประกอบที่ทำให้เกิดอาการแพ้ยาหรือเกิดผลข้างเคียงอื่น ๆ ตามมาได้
  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยา หากผู้ป่วยยังมีประจำเดือนอยู่
  • แจ้งให้แพทย์ทราบก่อนใช้ยาหากมีภาวะเจ็บป่วยใด ๆ อยู่ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีประวัติการรักษาโรคต่าง ๆ เช่น ลิ่มเลือดในขา โรคปอดและตา โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะสมองขาดเลือดชั่วคราว โรคหัวใจ ภาวะหัวใจขาดเลือด ภาวะคอเลสเตอรอลสูง ภาวะหัวใจห้องบนเต้นสั่นพลิ้ว ภาวะความดันโลหิตดันสูง โรคไต โรคตับ ภาวะหัวใจวาย และโรคมะเร็ง เป็นต้น
  • ห้ามใช้ยานี้ในผู้ป่วยที่มีลิ่มเลือดหรือมีประวัติการมีลิ่มเลือดมาก่อน เพราะอาจเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดเพิ่มมากขึ้นได้
  • แจ้งให้แพทย์ทราบเกี่ยวกับยา วิตามิน หรือสมุนไพรทุกชนิดที่ผู้ป่วยใช้ เพราะยาบางชนิดอาจทำปฏิกิริยากับยานี้ได้ เช่น ยาวาร์ฟาริน ยาคอเลสไทรามีนและเอสโตรเจน เป็นต้น
  • แจ้งให้แพทย์ทราบขณะใช้ยา หากผู้ป่วยต้องเข้ารับการผ่าตัด ต้องนอนหรือนั่งเป็นเวลานาน ๆ เพราะอาจเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดได้ในขณะที่ใช้ยา โดยผู้ป่วยอาจต้องหยุดใช้ยาหรือใช้ยาภายใต้คำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด
  • ไม่ใช้ยานี้ในผู้ป่วยเพศชาย
  • หากผู้ป่วยเกิดภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงขณะใช้ยา ควรแจ้งให้แพทย์ทราบ เนื่องจากอาจเป็นผลข้างเคียงของการใช้ยา
  • ผู้ป่วยอาจต้องตรวจเลือด ตรวจความหนาแน่นของกระดูก และตรวจเต้านมบ่อยครั้งตามคำแนะนำของแพทย์ในระหว่างที่ใช้ยา
  • สตรีมีครรภ์หรือผู้ที่วางแผนจะมีบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา เนื่องจากยาชนิดนี้อาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ได้
  • สตรีที่กำลังให้นมบุตรควรปรึกษาแพทย์ก่อนใช้ยา เพราะยาอาจซึมผ่านน้ำนมมารดาและเป็นอันตรายต่อทารกได้

ปริมาณการใช้ยา Raloxifene

ปริมาณและระยะเวลาในการใช้ยาขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ผู้รักษา โดยทั่วไปการใช้ยาในผู้ใหญ่ เพื่อรักษาและป้องกันโรคกระดูกพรุนในสตรีวัยหมดประจำเดือนนั้น จะรับประทานยาปริมาณ 60 มิลลิกรัม 1 ครั้ง/วัน

การใช้ยา Raloxifene

  • ใช้ยาตามฉลากและตามคำสั่งแพทย์อย่างเคร่งครัด หากมีข้อสงสัยใด ๆ ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยา
  • รับประทานยานี้พร้อมอาหารหรือไม่พร้อมอาหารก็ได้ และควรรับประทานยาในเวลาเดิมทุกวัน
  • ใช้ยาให้ครบกำหนดตามที่แพทย์สั่ง แม้อาการจะดีขึ้นแล้วก็ตาม
  • หากผู้ป่วยลืมรับประทานยา ให้รับประทานทันทีที่นึกขึ้นได้ หากใกล้ช่วงเวลาของยารอบถัดไป ให้ข้ามไปรับประทานยาตามเวลาปกติ โดยห้ามเพิ่มปริมาณยาเป็น 2 เท่า
  • หากใช้ยาเกินปริมาณที่กำหนด หรือมีอาการหมดสติและหายใจลำบาก ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
  • ยา Raloxifene ออกฤทธิ์ได้ดีที่สุดเมื่อใช้ร่วมกับแคลเซียมและวิตามินดี ทั้งนี้ ผู้ป่วยควรรับประทานอาหารที่มีแคลเซียมและวิตามินดีให้เพียงพอ หรืออาจปรึกษาแพทย์ในการรับประทานแคลเซียมและวิตามินดีเสริม
  • ขณะใช้ยานี้ หากดื่มแอลกอฮอล์ควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ รวมถึงรับประทานอาหารและออกกำลังกายตามคำแนะนำของแพทย์ด้วย
  • เก็บยาไว้ที่อุณหภูมิห้อง ให้ห่างจากความชื้น ความร้อน และแสงแดด โดยเก็บยาให้ห่างจากมือเด็กและสัตว์เลี้ยง รวมถึงปรึกษาวิธีการเก็บรักษาและการกำจัดยาที่ถูกต้องจากแพทย์และเภสัชกร หากหมดอายุให้ทิ้งยาทันที

ผลข้างเคียงจากการใช้ยา Raloxifene

การใช้ยา Raloxifene อาจทำให้เกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ เช่น อาการร้อนวูบวาบ เป็นตะคริวที่ขา มีอาการคล้ายไข้หวัด มีเหงื่อออกมาก ปวดศีรษะ ปวดท้อง ท้องไส้ปั่นป่วน ท้องเสีย ปวดกล้ามเนื้อหรือข้อต่อ และนอนหลับยาก เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยควรหยุดใช้ยาและไปพบแพทย์ทันที หากเกิดอาการรุนแรงดังต่อไปนี้

  • มีอาการแพ้ยาอย่างรุนแรง แต่มักพบได้น้อย เช่น มีผื่น คันและบวม โดยเฉพาะที่ใบหน้า ลิ้น และคอ เวียนศีรษะอย่างรุนแรง และหายใจลำบาก เป็นต้น
  • มีสัญญาณของโรคหลอดเลือดสมอง เช่น ร่างกายอ่อนแรงครึ่งซีก มีปัญหาในการพูด การมองเห็นเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน สับสน มึนงง เป็นต้น
  • มีสัญญาณของการเกิดลิ่มเลือด เช่น มีอาการปวดเฉียบพลัน มีอาการบวม มีรอยแดงและรู้สึกอุ่นบริเวณขาหรือแขน เจ็บหน้าอก หายใจลำบาก ไอเป็นเลือด การมองเห็นเปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน อย่างมองเห็นภาพเบลอ หรือสูญเสียการมองเห็น เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้ป่วยบางคนอาจไม่มีผลข้างเคียงใด ๆ หรือมีอาการเพียงเล็กน้อย แต่หากพบผลข้างเคียงหรือความผิดปกติอื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ ควรรีบแจ้งให้แพทย์หรือเภสัชกรทราบทันที